เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 19 มกราคม 2566 ที่ร้านอาหารชิดลมคาเฟ่ แอนด์ เรสเตอร์รองท์ เชียงใหม่ ดร.จุฑา ธาราไชย ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคเหนือ (สสปน.) นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ น.ส.จงรัก อิ่มใจ ผู้อํานวยการสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 น.ส.สุลัดดา ศรุติลาวัลย์ ผู้อํานวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สํานักงานเชียงใหม่ นายสงกรานต์ มูลวิจิตร นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชํานาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มนโยบายและแผนงานสํานักงานอตุสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และนายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน World Tea & Coffee Expo 2023 ซึ่งเป็นงานประชุมและแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมชาและกาแฟระดับโลก ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 มกราคม 2566 ณ one nimman จ.เชียงใหม่ เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟจากแหล่งปลูกที่ดีที่สุด
ดร.จุฑา กล่าวว่า เรามีเป้าหมายและผลักดันสร้างชื่อเสียงให้ภาคเหนือเป็น “ถิ่นของชาและกาแฟระดับโลก” จากการจัดงานประชุมและแสดงสินค้า World Tea & Coffee Expo 2023 กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 มกราคม 2566 ณ ศูนย์การค้า One Nimman ย่านธุรกิจที่สําคัญใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งทาง สสปน. ใช้กลไก การแสดงสินค้าขับเคลื่อนพืชเศรษฐกิจระดับภาค เพื่อสร้างชื่อเสียง (Destination Branding) ต่อยอดความพร้อมของ ภาคเหนือตอนบนในการเป็นผู้นําอุตสาหกรรมชาและกาแฟระดับโลก ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “A Cup of Success” เพื่อเน้นย้ำถึงความสําเร็จของธุรกิจชาและกาแฟในไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงความสําเร็จที่กําลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
“ภายในงานแบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ ส่วนของงานแสดงและจําหน่ายสินค้า ในบริเวณพื้นที่ลาน กิจกรรม กลางแจ้ง และส่วนของงานประชุมวิชาการนานาชาติในชื่อ The 3rd Tea and Coffee International Symposium ณ ห้องประชุม Nimman Convention Centre โดยในส่วนของงานแสดง สินค้าประกอบด้วยบูธของผู้ประกอบการจํานวน 50 ราย แบ่งเป็นบูธผู้ประกอบการชาและกาแฟภาคเหนือ รวมทั้งภาคอื่น ๆ จํานวน 45 ราย และต่างประเทศจํานวน 5 ราย จากประเทศบราซิล กัวเตมาลา ลาว ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยท้ังหมดเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติ ผ่านเกณฑ์ตามที่ สสปน. กําหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และมาตรฐานของสินค้า การ นํานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต และศักยภาพที่สามารถต่อยอดธุรกิจต่อไปได้ในอนาคต”
ดร.จุฑา กล่าวว่า อีกหนึ่งกิจกรรมที่จะเป็นโอกาสทางการค้าที่สําคัญของผู้ประกอบการคือ การเจรจาธุรกิจ (Business Matching) ซึ่งในครั้งนี้มีการเชิญคู่ค้า หรือ buyer จากทั่วประเทศ 20 ราย ทั้ง ซีพี โออาร์ และแบล็คแคนยอน และจากต่างประเทศ จํานวน 5 ราย โดยการเจรจาจะมีทั้งรูปแบบออฟไลน์ภายในงาน และการเจรจาผ่านทางออนไลน์ ทั้งนี้ตัวเลขคาดการณ์มูลค่าซื้อขายจากการเจรจาธุรกิจอยู่ที่ 8 ล้านบาท และส่วนของการซื้อขายภายในงานอยู่ที่ 2 ล้าน บาท ในส่วนของผู้เข้าชมนั้น เดิมตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 คน แต่ด้วยสถานที่จัดงานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง จึงมั่นใจว่าจะมีผู้เข้าชมมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ในส่วนของงานประชุมวิชาการนานาชาติ Tea & Coffee International Symposium จะเป็น การประชุม Hybrid แบบเต็มวันในวันที่ 26 มกราคม 2565 ณ ห้องประชุม Niman Convention ซึ่งอยู่ใน บริเวณเดียวกัน โดยได้เชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจากในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกงสุลต่างประเทศ มาแลกเปลี่ยน และให้ความรู้ในห้วข้อต่าง ๆ ได้แก่ A cup Of success : ความสําเร็จของ ธุรกิจชาและกาแฟ ในไทย บทบาทความสําคัญ ของหน่วยงานต่าง ๆ ในการมีส่วนร่วมและผลักดันอุตสาหกรรมชาและกาแฟ, Light Cup : ทิศทางตลาด ชา และกาแฟไทยกับแนวโน้มตลาดโลก, Meduim Cup : ตลาด ชาและกาแฟใน ไทย โอกาสและอุปสรรคในการเติบโต, Dark Cup : เจาะลึก การส่งออก และการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ และ Special Cup : Tea and Coffee Tourism ชากาแฟกับ โอกาสในการต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
นอกเหนือจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษ A Cup of Country ซึ่งเป็นการนําเสนอ สาธิตการชง เครื่องดื่มชา กาแฟจากประเทศต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนและแสดงถึงทั้งคุณค่าและความยิ่งใหญ่ของเครื่องดื่มชา กาแฟที่แทรกซึม อยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทั่วโลกมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ น.ส.สุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อํานวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สํานักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า เชียงใหม่มีร้านกาแฟที่จดทะเบียนการค้า จำนวน 3,510 ร้าน เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการสำรวจงานวิจัยพบว่า ในปี 2020-2027 การท่องเที่ยวเชิงอาหารเติบโตทั่วโลก 16-18% ต่อปี จากจำนวน 5,400 คนต่อปี สร้างรายได้ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่มาก เพราะการดื่มชาและกาแฟถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยในส่วนของคนไทยถือว่าชื่นชอบการเข้าร้านกาแฟเพื่อดื่มและเสพบรรยากาศในหลากหลายรูปแบบ
นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ตัวเลขการเติบโตของกาแฟในภาคเหนือ รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีนี้ และสำหรับ จ.เชียงใหม่ น่าจะมีตัวเลขมากกว่าครึ่งของการเติบโต เพราะเรามีทั้งพื้นที่ผลิตและร้านค้า และผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อการส่งออก ยังต้องนำเข้าเพื่อนำเมล็ดมาบดคั่วและส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศอีกครั้ง
นายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กล่าวว่า นอกจากสุดยอดกาแฟที่มีเอกลักษณ์จาก 9 ยอดดอยของเชียงใหม่ แล้วยังมีกาแฟดีจากมณีพฤกษ์ จ.น่าน ซึ่งได้รับการนำไปเสิร์ฟในงานเอเปคที่ผ่านมา และกาแฟระดับท็อปเทรนด์ จ.เชียงราย และแม่ฮ่องสอน