ปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย กับงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์ม อัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ในภาคเหนือตอนบน 1”

ปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย กับงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ในภาคเหนือตอนบน 1”ที่จัดโดยศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) สำนักงานเชียงใหม่ เปิดหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับเกษตรกร เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กลุ่มเกษตรกรภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, แม่ฮ่องสอน) ที่ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา อาทิ สำนักงานเกษตรจังหวัด, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคเหนือตอนบน, หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่, กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer), สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยพะเยา

โดยมุ่งเน้นให้โครงการฯ นี้สามารถสร้างความยั่งยืน และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างมีคุณภาพ และเน้นการพัฒนาพืชสมุนไพรมูลค่าสูงผ่านห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้วยแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเศรษฐกิจฮาลาล (Halal Economy) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืช และสมุนไพรไทย ตลอดจนการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สร้างความอัจฉริยะในการเกษตร สำหรับพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่จะช่วยแก้ปัญหา และลดความเสี่ยงด้านการจัดการปลูกพืชสมุนไพรในโรงเรือนอัจฉริยะ และเพื่อพัฒนาระบบการบริหาร จัดการการปลูกพืชสมุนไพรด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้เป็นโรงเรือนต้นแบบ เพื่อใช้และต่อยอดในอนาคตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงเพื่อนำผลผลิตทางการเกษตรในฟาร์มให้เป็นพืชปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP และได้รับความรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน Halal ตามหลักศาสนบัญญัติอิสลาม และเพื่อให้ได้รับความรู้ด้านเกษตรอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสำหรับสมาร์ทฟาร์ม และสามารถนำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดต่อไป โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีในพื้นที่มาช่วยแก้ปัญหา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมการเกษตรฮาลาล, ลดความเสี่ยงด้านการจัดการ, ลดต้นทุน, ลดการใช้แรงงาน และเพิ่มผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการปลูกพืชสมุนไพรในรูปแบบเกษตรอัจฉริยะ เป็นการนำเอาระบบเฝ้าระวัง (monitoring) และระบบควบคุม (control) ปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น การใช้น้ำ, อุณหภูมิ และความชื้น เป็นต้น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ loT (Internet of Things) โดยการติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ (senser) และอุปกรณ์ควบคุม (controller) ภายในโรงเรือน และส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยเกษตรกรหรือผู้ใช้งานสามารถสั่งการ และเรียกดูการรายงานผลในรูปแบบข้อมูล และกราฟ ผ่านทางหน้าเว็ปไซต์ (Website) ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิต ในกระบวนการเพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตให้สามารถส่งออกไปสู่ตลาดได้อย่างเพียงพอ ด้วยในปัจจุบันชุมชนมีตลาดรองรับเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังลดการใช้เวลา และการพึ่งพาแรงงานอีกด้วย

ทั้งนี้ได้จัดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 มีทั้งหมด 28 รุ่น ตั้งแต่เดือน มกราคม – สิงหาคม 2566 มีผู้เข้าร่วมอบรม กว่า 1,050 คน ซึ่งมีการแบ่งหัวข้ออบรมเป็น 6 ข้อใหญ่ๆ อาทิ Sustainable Agriculture, Sustainable Branding, Sustainable Farming Sustainable Marketing, Sustainable Packaging และ Halal Forensic Science ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุม และให้ความรู้สำหรับผู้เข้าอบรมเป็นอย่างมาก โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีความรู้สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้บรรยาย และจัด workshop มากมาย อาทิ

• Sustainable Agriculture
– การบรรยายหัวข้อ “พัฒนาการขยายพันธุ์สับปะรด สู่เกษตรชั้นนำ” โดย รศ.ดร.ชิติ ศรีตนทิทย์ อาจารย์สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.ลำปาง
– การบรรยายหัวข้อ “Smart Farm เกษตรอัจฉริยะทางเลือกเกษตรกรยุคไอที และการจัดการฟาร์มสมัยใหม่ พลิกวงการเกษตรไทยให้ยั่งยืน” โดยคุณพีรภัฒน์ วุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์ม (ไทยแลนด์) จำกัด
– การบรรยายหัวข้อ “Farm To Face Workshop” Hydrosol, Infused Oil, Natural Lotion โดย คุณวรินทร์ดา ศรีเจริญ, คุณมัลลิกา สุทธิประภา เฮอบัล-สตูดิโอ และคุณผดุงพงศ์ สิทธิธัญญ์ จาก SunSpace
– การบรรยาย และ Workshop หัวข้อ “การทดสอบการระคายเคืองผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเบื้องต้นด้วยตนเอง” โดย คุณธรรมนูญ รุ่งสังข์, ผศ.ดร. ลภัสรดา มุ่งหมาย
– การบรรยาย และปฏิบัติการ หัวข้อ “การเลือกสารและส่วนประกอบในการทำผลิตภัณฑ์ในช่องปาก และผลิตภัณฑ์กันแดด” โดย คุณฐิติพงษ์ เอี่ยมวรพันธุ์, คุณบศราวดี อมรโชติพันธุ์, คุณภัสสรณ์ กองเงิน, คุณเบญจพร คำยอง จาก บริษัท Jebsen & Jessen Ingredients
– การบรรยายหัวข้อ “Farm Zoning Management จัดสรรพื้นที่ใช้สวนอย่างไรให้ลงตัว และ Workshop – Microbial Pesticide สาธิตการผลิตเชื้อจุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ ตัวช่วยเกษตรกรในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืช” โดย คุณบุญอนันต์ เหล่อโพ ประธาน Young Smart Farmer จ.แม่ฮ่องสอน

• Sustainable Branding
– การบรรยายหัวข้อ “คอนเท้นต์ คอนใจ เกษตรกรยุคใหม่สร้างสรรค์อย่างไร ให้ยั่งยืน Smart Content for Sustainable” โดย คุณณัฐนันท์ อินแถลง Marketing Director Blackcat Agency

• Sustainable Farming
– การบรรยายหัวข้อ “Design Thinking กับการพัฒนาชุมชนเกษตรเข้าสู่ฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มณิษวาส จินตพิทักษ์ จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
– การอบรมเชิงปฏิบัติการ “Data Visualization for Smart Farm” โดย คุณกมลาภรณ์ กุมมาลือ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
– การบรรยายหัวข้อ “Metaverse for Agriculture การประยุกต์การทำการเกษตรในโลกเสมือนจริง”
โดยคุณผดุงพงศ์ สิทธิธัญญ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันสเปซ ฟาร์ม จำกัด
– การบรรยายหัวข้อ “กว่าจะเป็นเกษตรกรที่เรียกตนเองว่า Young Smart Farmer”
โดย คุณนพนคร งามปฏิรูป ประธานกลุ่ม Young Smart Farmer จ.เชียงใหม่ปี 64
– การฝึกปฏิบัติการหัวข้อ “loT Voice Control for Smart Farming การควบคุมระบบการเกษตรอัตโนมัติ ด้วยเสียงผ่าน loT” โดยคุณผดุงพงศ์ สิทธิธัญญ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันสเปซ ฟาร์ม จำกัด

• Sustainable Marketing
– การบรรยายหัวข้อ “การสร้างร้านค้าออนไลน์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย” (Social Media) โดย คุณทิพวรรณ ประทุมทา จาก บริษัท O2O Commerce
– การบรรยายหัวข้อ “Gets more Short VDO Commerce เทคนิคการนำเสนอขายสินค้าผ่านคลิปสั้นด้วยตัวเอง” โดย คุณณัฐนันท์ อินแถลง จาก Blackcat Agency
– การบรรยาย และWorkshop หัวข้อ “Right Content, Right Person สร้างคอนเทนต์ที่ “ใช่” มัดใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง”

• Sustainable Packaging
– การบรรยายหัวข้อ “เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ด้วย Smart Packaging Design”
โดย คุณ คุณโสภิณ หาญเตชะ Art Director Minterax Studio
– การบรรยายและ Workshop หัวข้อ “Advanced Packaging Design & Development ออกแบบแพคเกจจิ้งอย่างมืออาชีพ สู่การสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน” โดย คุณโสภิณ หาญเตชะ ตำแหน่ง Art Director บริษัท มินเทอแร็คซ์ สตูดิโอ จำกัด
– การบรรยาย และWorkshop หัวข้อ “การเลือกสารและส่วนประกอบในการทำผลิตภัณฑ์ในช่องปาก
และผลิตภัณฑ์กันแดด” โดย คุณฐิติพงษ์ เอี่ยมวรพันธุ์, คุณบศราวดี อมรโชติพันธุ์, คุณภัสสรณ์ กองเงิน, คุณเบญจพร คำยอง จาก Jebsen & Jessen Ingredients (T) Ltd และคุณวรินทร์ดา ศรีเจริญ จาก เฮอบัล-สตูดิโอ จำกัด
– การฝึกปฏิบัติการหัวข้อ “Packaging Design 4.0 for Sustainable Agriculture: ออกแบบแพคเกจจิ้ง อย่างมืออาชีพเพื่อสร้างธุรกิจเกษตรที่ยั่งยืน” โดย คุณโสภิณ หาญเตชะ Art Director บ. มินเทอแร็คซ์ สตูดิโอ จำกัด

• Halal Forensic Science
– การบรรยายหัวข้อ “วัตถุดิบที่ต้องสงสัย และการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล” โดย คุณสุลัยญา เปี่ยมชัยวัฒน์ Scienctise, The Halal Science Center Chulalongkorn University
– การบรรยายและ Workshop “การพิจารณาและคัดเลือกวัตถุดิบ เพื่อการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล” โดย คุณชิตาพร ประทาน Scienctist The Halal Science Center Chulalongkorn University
– การบรรยาย บรรยายหัวข้อ ระเบียบและข้อบังคับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยการดำเนินการตรวจรับรองฮาลาลสถานประกอบการ โดย คุณนิรันดร์ บินประทาน สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่/ร.ต.ต.ทัศน์ ดำรงเมือง สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย
– บรรยายหัวข้อ “ข้อกำหนดแนวทางปฏิบัติการขอใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาล และการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาลบนผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์” และWorkshop “ขั้นตอนการเตรียมข้อมูลสำหรับการขอรับรองฮาลาลออนไลน์” โดย คุณวุฒิชัย วีระมาชา สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่
– บรรยายหัวข้อ อบรมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาคุณภาพและความรู้ด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับวัตถุดิบของกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ฮาลาล” โดย อ.สมศักดิ์ ซูโอ๊ะ หัวหน้างานวิชาการ ฝ่ายกิจการฮาลาล สกอท.

ทั้งนี้ในการจัดอบรมนอกจากจะมีการฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติการ ยังได้จัดให้มีกิจกรรมกว่า 5 กิจกรรมอีกด้วย อาทิ

• กิจกรรมที่ 1 : การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ
o การร่างมาตรฐาน HAL-GAP และพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อบูรณาการมาตรฐานการผลิตสินค้าฮาลาล (HAL-Q) ร่วมกับมาตรฐาน GAP ในด้านการเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสและคุณค่าของสินค้าเกษตรสู่เกษตรกรไทย
o การพัฒนาอุปกรณ์ฝึกอบรม Halal Smart Farm Training Unit สำหรับการอบรมเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ
o การพัฒนาแพลตฟอร์มการเฝ้าระวังและการบริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถใช้ข้อมูลในการเพาะปลูกอย่างชาญฉลาด
o การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์สำหรับการบริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าเกษตร
• กิจกรรมที่ 2 : การพัฒนาหน่วยฝึกอบรมและ Train-The-Trainer จำนวน 5 คน ที่ช่วยให้เกษตรกรที่เป็นเครือข่ายสามารถใช้เครื่องมือในการอบรมเกษตรกรรายอื่นๆในท้องถิ่นได้ 500 คน


o ร่วมมือกับกลุ่ม Young Smart Farmer จำนวน 5 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ที่เป็นแปลงสาธิตต้นแบบ โดยการสนับสนุน Halal Smart Farm Training Unit ซึ่งประกอบไปด้วยระบบหลัก 5 ระบบ ได้แก่
 ระบบบริหารจัดการพลังงาน
 ระบบบริหารจัดการน้ำ
 ระบบการติดตามและเฝ้าระวังโดยใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things)
 ระบบบริหารจัดการเครือข่ายภายในฟาร์ม
 แพลตฟอร์มในการบริหารจัดการข้อมูลในฟาร์มแบบครบวงจร


• กิจกรรมที่ 3 : การส่งเสริมและการขยายผลเกษตรกรอัจฉริยะ
o โครงการนี้ได้พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอัจฉริยะจำนวน 22 หลักสูตรในรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตแบบออนไลน์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่องค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับด้านการเกษตรอัจฉริยะ การมาตรฐานฮาลาล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร และการทำธุรกิจเกษตร เป็นต้น


o ฝึกอบรมเกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรกว่า 1,200 ราย
• กิจกรรมที่ 4 : การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปทั้งด้านอาหารและเครื่องสำอาง โดยเน้นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด (demand-driven) โครงการได้ร่วมมือกับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศเพื่อศึกษาความต้องการของกลุ่มลูกค้าและเชื่อมโยงกับผู้ผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีมาตรฐานและคุณภาพ โดยเชื่อมต่อกับเกษตรกรผู้ปลูกโดยตรง ซึ่งได้ยกระดับสินค้าเกษตรไทย โดยแบ่งกลุ่มสินค้าที่พัฒนาเป็น 3 ระดับได้แก่
o ระดับนวัตกรรม: เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 200% โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง เช่น


 สีธรรมชาติ (Plant-based Color) สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางจากพืช เช่น ไม้ฝาง ใบมะม่วง ดอกอัญชัน ใบเตย แครอท ฟักทอง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าจากกิโลกรัมละ 100 บาท ไปเป็นสีธรรมชาติ ขั้นต่ำกิโลกรัมละ 1,800 บาท
 Probiotic Skincare ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ จาก ลิ้นจี่ สัปปะรด และข้าว ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าได้กว่า 800 %
 เซรั่มบำรุงผม จากพืช โรสแมรี่, ขิง, และมะกรูด ด้วยเทคโนโลยี Encapsulation ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าจากกิโลกรัมละ 50 บาท ไปเป็นวัตถุดิบ กิโลกรัมละ 2,000 บาท
 Quranic Energy Bar โดยการรวบรวมพืชและผลไม้ที่ได้กล่าวถึงในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ได้แก่ อินทผลัม องุ่น มะกอก มะเดื่อ ทับทิม กล้วย และเทียนดำมาเพิ่มมูลค่าได้ถึง 200%
 น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) จากสมุนไพรไทย เช่น ขิง ข่า กระเพรา ตะไคร้หอม ด้วยเทคโนโลยีการสกัดน้ำมันด้วยคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดได้มากกว่า 205% และเพิ่มมูลค่าได้ 350% เทียบกับการขายพืชสด


o ระดับต้นแบบ: เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 30% โดยใช้เทคโนโลยีการแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นต้น ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือฟังก์ชันการบริโภค เช่น
 การพัฒนา Hydrosol Drinking Water หรือเครื่องดื่มจากน้ำที่ได้จากการกลั่นดอกไม้หรือพืช ร่วมกับ ร้านเฮิร์บ เบสิคส์ โดยใช้ผลิตภัณฑ์จาก กุหลาบ มิ้นท์ และข้าวหอมมะลิ เป็นต้น
 การพัฒนาโลชั่น และ แฮนด์ครีม ร่วมกับ บริษัท สุวิรุฬห์ ชาไทย จำกัด จากชาออแกนิคชนิดต่างๆ เช่น ชาเขียว ชาดำ ชากุหลาบ ชาตะไคร้ ชาอูหลง และ ชามะลิ เป็นต้น
 การพัฒนา Refill Station ร่วมกับร้าน Good Health เพื่อลดการใช้ packaging โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ จาก ส้ม มะลิ ตะไคร้หอม และ โรสแมรี่
 การพัฒนา Hemp Protein Bar จากเมล็ดกัญชง (hemp heart) ร่วมกับ แบรนด์ Hmong Hemp Valley ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้ง จากอำเภอกัลยานิวัฒนา
 เส้นพาสต้าจากผล butternut squash ที่เป็น Gluten Free ร่วมกับผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Young Smart Farmer เชียงใหม่


o ระดับสร้างยอดขาย: เน้นการสร้างยอดขายสินค้าเกษตรแปรรูป โดยการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ปลายน้ำ (ผู้จำหน่ายสินค้า), กลางน้ำ (ผู้แปรรูป), และต้นน้ำ (ผู้ปลูก) เช่น
 ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว (personal care) สำหรับตลาดสีเขียว (green market) ในประเทศ จาก ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น Nail Serum ใช้ข้าวหอมมะลิออแกนิค จากอำเภอพร้าว, Shower Gel ใช้ มิ้นท์จากอำเภอเมืองเชียงใหม่, Hemp Oil โดยใช้ กัญชง จากอำเภอกัลยานิวัฒนา โดยคาดว่าจะมียอดขายรวม 1 ล้านบาท
 ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากดอกไม้ สำหรับตลาดเวียดนาม โดยใช้ ดอกอัญชันอบแห้ง จากจังหวัดลำพูน โดยมียอดสั่งซื้อแล้ว 3 ล้านบาท
 ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมเพื่อสุขภาพ สำหรับตลาดสิงคโปร์ โดยใช้ ชามะลิออแกนิคจากจังหวัดเชียงราย โดยใช้ กล้วยและมะม่วงอบพลังงานแสงอาทิตย์จากจังหวัดพิษณุโลก โดยมียอดสั่งซื้อแล้ว 1.5 ล้านบาท


• กิจกรรมที่ 5 : การพัฒนาช่องทางการตลาดของสินค้าเกษตรมูลค่าสูง โครงการได้เชื่อมโยงแพลตฟอร์มการตลาดในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิมและกลุ่มผู้บริโภคชาวจีน ที่ชื่นชมสินค้าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สปาของไทย
o จัดตั้ง Pop Up Store ที่ One Nimman จังหวัดเชียงใหม่ และการขายสินค้าจากธรรมชาติ ได้แก่ ห้างริมปิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้าน Good Health เพื่อทดสอบตลาดของสินค้านวัตกรรมใหม่ เพื่อสร้างให้เกิดยอดขายจริงในโครงการ รวมถึงการประชาสัมพันธ์โครงการและผลลัพธ์ของโครงการในงานหอการค้าแฟร์ ร่วมกับหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย
o ในช่วงโครงการได้สร้างยอดขายมูลค่ากว่า 5.5 ล้านบาท จากในประเทศ และต่างประเทศ
o คาดว่า 1 ปีหลังจากเสร็จสิ้นโครงการจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 12 ล้านบาท


ทั้งนี้ทางผู้จัดโครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ในภาคเหนือ” นี้ต้องการยกระดับเกษตรกรไทย และสินค้าเกษตรของไทยให้มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% และพัฒนาเกษตรกรมากกว่า 1,200 คนตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยจะมีการจัดตั้งหน่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเกษตรฮาลาลอัจฉริยะอีก 5 แห่ง ให้ทั่วประเทศในอนาคต รวมไปถึงการมีต้นแบบผลิตภัณฑ์เกษตรที่มีมูลค่า จำนวน 52 ชิ้น จาก 22 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะ 5 ปี ได้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ในอนาคต

สำหรับเกษตรกร และประชาชนทั่วไป ที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือนโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ภาคเหนือตอนบน 1” สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
– https://sites.google.com/view/halal-smart-farm
– https://www.facebook.com/HSC.CU.CM?mibextid=ZbWKwL
– https://www.facebook.com/HalalSmartFarm?mibextid=LQQJ4d
#HalalSmartFarm #HSCCM

 

“ฟาร์มอัจฉริยะ” นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาพัฒนาสินค้าเกษตรไทยให้เข้าสู่มาตรฐานฮาลาล พร้อมยกระดับสมุนไพรไทยสู่สากล

ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) สำนักงานเชียงใหม่ จัดทำโครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ภาคเหนือตอนบน 1” เน้นการอบรมเชิงปฏิบัติการจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายด้านให้กับเกษตรกร พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรภาคเหนือตอนบน 1 เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, แม่ฮ่องสอน และพัฒนาเกษตกรไทยให้เข้าสู่มาตรฐานฮาลาล เพื่อพัฒนาสมุนไพรไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้น และโปรโมทให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้รู้จัก

โดยในการจัดทำโครงการฯ ในครั้งนี้ ได้ความร่วมมือจากภาคการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยพะเยา ที่ช่วยในการฝึกอบรม และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยแก้ไขปัญหา และลดความเสี่ยงด้านการจัดการปลูกพืชสมุนไพรในโรงเรือน ผลิตผลทางการเกษตรจากฟาร์ม จัดเป็นพืชปลอดภัยตามมาตรฐาน HAL-GAP ที่บูรณาการมาตรฐานเกษตรปลอดภัย และมาตรฐาน Halal ตามหลักศาสนบัญญัติอิสลาม

“ฟาร์มอัจฉริยะ” เป็นการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการปลูกพืชสมุนไพรในรูปแบบเกษตรอัจฉริยะ เป็นการนำเอาระบบเฝ้าระวัง (monitoring) และระบบควบคุม (control) ปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น การใช้น้ำ, อุณหภูมิ และความชื้น เป็นการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ loT (Internet of Things) โดยการติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ (sensor) และอุปกรณ์ควบคุม (controller) ภายในโรงเรือน และส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยเกษตรกรหรือผู้ใช้งานสามารถสั่งการ และเรียกดูการรายงานผลในรูปแบบข้อมูล และกราฟผ่านหน้าเว็ปไซต์ ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิต ในกระบวนการเพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตให้สามารถส่งออกไปสู่ตลาดได้เพียงพอ ต่อความต้องการของตลาดที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามชุมชน

ทั้งนี้โครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ภาคเหนือตอนบน 1” ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืชสมุนไพรในท้องถิ่นกว่า 22 ชนิด แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านการสร้าง Innovation, ด้านการสร้าง Product Prototype และ การส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน Commercial โดยมีรายละเอียดแต่ละผลิตภัณฑ์ดังนี้

ด้าน Innovation Product Development ทั้งหมด 7 ผลิตภัณฑ์ อาทิ

1. Plant Cosmetics Color (การสกัดสีจากพืชเพื่อการทำสกินแคร์และเครื่องสำอาง)
– การสกัดสีจากพืช 5 อย่าง ได้แก่ ฝาง, ใบมะม่วง, อัญชัน, หมากแดง, ฮ่อม ด้วยนวัตกรรมการสกัดด้วยน้ำจนได้ผลสีที่มีคุณภาพสูง ไม่มีสารเจือปนตั้งแต่กระบวนการผลิต มีคุณสมบัติตามที่ต้องการของตลาดเครื่องสำอาง สามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากการเกษตร และเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และเครื่องสำอาง

2. Plant Probiotic (การทำโปรไบโอติกส์จากพืช)
– การหมักจุลินทรีย์จากธรรมชาติกับผลไม้ และพืชพื้นถิ่น (ข้าว, ลิ้นจี่, สัปปะรด) ให้ได้โปรไบโอติกส์ จากธรรมชาติที่มีประโยชน์อย่างมาก ตอบโจทย์โลกอุตสาหกรรมความงาม อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และเครื่องสำอาง และความต้องการของผู้บริโภค สามารถนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง ฮาลาล (Halal Probiotic Skincare) ได้ และสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการบำรุงผิวได้ หรือที่เรียกว่า “Probiotics Skincare” ช่วยในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากการเกษตรในท้องถิ่น

3. Plant encapsulation (การเอ็นแคปซูเลชั่นสารสกัดจากพืช)
– ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติ รวมถึงส่วนผสมจากพืชหลายชนิด อาทิ โพลีฟีนอล, น้ำมัน, น้ำมันระเหยง่าย, วิตามิน และสารสกัดจากสมุนไพรต่างๆ ถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอางสมุนไพร ด้วยเทคโนโลยี encapsulation ได้เพิ่มความเสถียรทางเคมี ความเข้ากันได้ทางชีวภาพ การซึมผ่านของผิวหนัง และประสิทธิภาพของเครื่องสำอางสู่ชั้นผิวหนังเมื่อนำไปใช้เฉพาะที่ โดยผู้พัฒนานำสารสกัดจาก ขิง และโรสแมรี่ มา coating ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลหนังศรีษะ และเส้นผม ได้อย่างตรงจุดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4. Essential oil by Microwave Extraction (การสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยคลื่นไมโครเวฟ)
– สมุนไพรพื้นบ้านของไทย อาทิ ขิง, ข่า, ตะไคร้หอม, มะกรูด, โหระพา และ กะเพรา มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ หาได้ง่ายตามท้องตลาด ราคาถูก โดยสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ด้วยคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Extraction) ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิในการสกัดได้ เหมาะกับสมุนไพรแต่ละชนิด ทำให้สารสำคัญของสมุนไพรไม่สูญเสีย ช่วยลดระยะเวลาในการหมัก ลดปริมาณการใช้ตัวทำละลาย แถมยังเพิ่มปริมาณสารได้มากขึ้นอีกด้วย

5. Plant food Color (การสกัดสีจากพืชเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา)
– การสกัดสีจากพืช 4 ชนิด อาทิ ดอกอัญชัน (สีน้ำเงิน), ฟักทอง (สีเหลือง), บีทรูท (สีแดง), ใบเตย (สีเขียว) โดยใช้เทคนิค “Encapsulation of colorants by natural polymers” ด้วยเครื่อง Spray Dryer เพื่อให้ได้สีที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา ซึ่งสารสีนี้มีคุณค่าทางอาหารที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชท้องถิ่น

6. Quranic Energy Bar (ขนมอบกรอบให้พลังงาน ผลไม้ผสมธัญพืช)
– ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อกลุ่มคนที่รักสุขภาพ เพื่อชดเชยความต้องการของโปรตีน และสารอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งประกอบด้วยผลไม้ที่มีการกล่าวถึงในอัลกุรอาน คือ อินทผลัม, ผลมะเดื่อ, องุ่น, เทียนดำ (ฮับบะตุเซาดะห์), กล้วย, น้ำผึ้ง, ซีเรียล และพืชตระกูลถั่ว ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดมีศักยภาพสูงมากในการทำหน้าที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมอาหารว่างฮาลาลได้

7. Refill Station
– ธุรกิจในรูปแบบ Refill Station เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม และช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยส่งเสริมให้ผู้บริโภคนำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ และนำมาใช้ซ้ำ ผ่านรูปแบบการใช้บริการ รีฟิว – Refill คือ การซื้อแบบเติมขวดเก่าแทนซื้อใหม่ ซึ่งสินค้าที่เริ่มเข้าสู่ระบบร้าน Refill ได้แก่ เจลอาบน้ำจากน้ำมันหอมระเหยมะลิ, เจลอาบน้ำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอม, เจลอาบน้ำน้ำมันหอมระเหยมิ้น และแชมพูน้ำมันหอมระเหยโรสแมรี่

ด้าน Prototype Development ทั้งหมด 5 ผลิตภัณฑ์ อาทิ

1. BUTTERNUT SQUASH FLOUR (เส้นพาสต้าจากแป้งบัตเตอร์นัทสควอช)
– ผลิตจากผลบัตเตอร์นัทสควอช โดยแปรรูปให้เป็นแป้งสควอช และเพิ่มมูลค่าโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นเส้นพาสต้าสควอช ซึ่งเป็นแหล่งโภชนาการที่ดีและมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ และเป็นแป้งที่อุดมด้วยแร่ธาตุ ช่วยเพิ่มสุขภาพดวงตา ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และรักษาระดับความดันโลหิต ซึ่งแป้งสควอชยังเต็มไปด้วยวิตามิน A และ C สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย และวิตามินซีในแป้งสควอชยังช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจน และทำให้ผิวของคุณไม่แห้ง ด้วยประโยชน์มากมายเราลองเปลี่ยนแป้งอเนกประสงค์ที่ผ่านกระบวนการขัดเงาเป็นแป้งสควอชที่อุดมด้วยสารอาหารเป็นแหล่งอาหารที่ยอดเยี่ยมของแร่ธาตุ เช่น ทองแดง, แคลเซียม, โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพของหัวใจ และการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

2. Hydrosol Drinking Water (น้ำกลั่นจากพืชใช้สำหรับบริโภค)
– น้ำกลั่นจากพืชทั้ง 7 ชนิด (สเปียร์มิ้นต์, เปเปอร์มิ้นต์, แบลคมิ้นต์, เจเเปนนิสมิ้นต์, ข้าว, ตะไคร้หอม, โรสแมรี่) สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการบริโภค โดยเรียกชื่อน้ำกลั่นนี้ว่า ไฮโดรโซล Hydrosol หรือ น้ำสกัดน้ำมันหอมระเหย ที่สกัดด้วยไอน้ำจะผลิตออกมาได้ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ (น้ำมันหอมระเหย) นิยมนำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว, โทนเนอร์, เครื่องสำอาง, น้ำหอม, สมุนไพร, ครีมรักษาแผล และ ส่วนที่ละลายน้ำ ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าน้ำมันหอมระเหย มีรสชาตินุ่มนวล ไม่เกิดความระคายเคือง และไม่อุดตันรูขุมขน ซึ่งสามารถนำไปใช้กิน ดม และทา เข้าสู่ผิวหนัง โดยนำมาผสมกับน้ำตาล หรือน้ำผึ้ง เป็นเครื่องดื่ม (Functional Drink) ในหลายประเภทอีกด้วย

 

3. Extra Booster Lotion (เอ็กซ์ตรา บูสเตอร์ โลชั่น)
– ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทโลชั่นบำรุงผิว หรือสกินแคร์บำรุงผิวกาย มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับชาวตะวันออกกลาง ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องเข้าไปช่วยดูแลให้ผิวพรรณขาว สว่าง กระจ่างใสขึ้น ลดการหมองคล้ำ ซึ่งแน่นอนว่า วิตามินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินบี3 วิตามินซี วิตามินรวมต่าง ๆ รวมไปถึงคอลลาเจน สิ่งเหล่านี้มีความสําคัญเป็นพิเศษที่นำมาเป็นส่วนผสมออกฤทธิ์ ในผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิว หรือ สกินแคร์บำรุงผิวกายสำหรับชาวอาหรับ เนื่องจากผู้หญิงในตะวันออกกลางพื้นฐานชอบดูดีไร้ที่ติ การสร้างผิวที่ไร้ที่ติและสีผิวสม่ำเสมอ ช่วยสร้างความมั่นใจได้เป็นอย่างมาก

4. Suwirun Hand Cream (โลชั่นทามือพัฒนาจากสารสกัดชาจากไร่ สุวิรุณห์)
– สุวิรุฬห์ ชาไทย หนึ่งในไร่ชาคุณภาพของจ.เชียงราย เชี่ยวชาญด้านชาไทยมากว่า 40 ปี เน้นหลัก วิถีเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมีภายใต้คอนเซปต์ Thailand Premium Organic Tea ได้รับการรับรองเป็นมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้งในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และยุโรป ให้เป็นไร่ชาออร์แกนิก 100% ที่ไร่มีการปลูกชา 2 สายพันธุ์ คือ ชาอัสสัม และ ชาอู่หลง โดยพัฒนาตามยุคสมัย ทั้งนำสมุนไพรไทยมาเป็นส่วนผสม และมีการแปรรูปมาเป็น สุวิรุฬห์ แฮนด์ครีม ซึ่งเป็นการนำชาจากไร่เข้ากระบวนการคัดกรอง การสกัด คิดค้นสูตร การเลือก Essential Oil ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีหลากหลายสูตร ทั้ง ชาอู่หลง, ชาดำ, ชาเขียว รวมไปถึง ชากุหลาบ, ชาตะไคร้, ชามะลิ

5. Hemp Protein Bar
– ของว่างระหว่างวัน ที่มีแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ถูกต้องตามมาตรฐานอาหาร สะอาด รสชาติถูกปาก และเนื้อสัมผัสดี มีส่วนผสมหลักๆ เช่น เมล็ดกัญชง เมล็ดอัลมอนด์ และช็อกโกแลตชิป ช่วยเพิ่มพลังก่อน หรือหลังออกกำลังกาย มีโปรตีนจากกัญชงสามารถย่อยได้ดี เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่แพ้อาหารง่าย

ด้าน Commercial Development ทั้งหมด 10 ผลิตภัณฑ์ อาทิ1. Flower snack (ดอกอัญชัญอบกรอบปรุงรส)
– ผลิตภัณฑ์ดอกไม้อบกรอบปรุงรส มาจากแนวคิดที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตดอกอัญชัน แปรรูปโดยการอบแห้ง และปรุงรส ให้เป็นอาหารทานเล่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อัญชันอบกรอบปรุงรสมี 3 รสชาติ อาทิ ต้มยำ, บาร์บีคิว และรสธรรมชาติ และในดอกอัญชันมีสารสำคัญ คือ แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ, มะเร็ง, เบาหวาน

2. Wagyu Beef Tallow Thai Basil (น้ำมันวากิวผสมกะเพรา)- การผสมผสานระหว่างไขมันจากเนื้อวากิว กับใบกะเพราไทยสด ทำให้เกิดน้ำมันวัวผสมกะเพรา ที่สามารถนำไป ทอด, เจียว, ผัด ที่ทำให้รสชาติอาหารอร่อยมากยิ่งขึ้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใส่สารกันบูด, ไม่เติมสีสังเคราะห์, ไม่เติมผงชูรส, ผงปรุงรส, ปราศจากแลคโตส และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อุดมไปด้วย วิตามินดี กรดไขมันที่จำเป็นทั้ง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 อีกทั้งยังช่วยในการควบคุมน้ำหนัก และช่วยในการลดไขมันในร่างกาย

3. Nail Serum (เนลเซรั่ม) – ผลิตภัณฑ์บำรุงเล็บ โดยมีข้าวหอมมะลิ, น้ำมันงาขี้ม้อน, น้ำมันเมล็ดชา เป็นส่วนประกอบ สารสกัดจากข้าวหอมมะลิ (Jasmine Rice Extract) ประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิด อาทิ แกมมา-ออไรซานอล, กรดไฟติก, กรดเฟอรูลิค, โทโคเฟอรอล, โทโคไตรอีนอล และกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยดูแลบำรุงเล็บให้แข็งแรง, หน้าเล็บเงางาม, ดูแลผิวพรรณสว่างสดใส, ฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส, ช่วยบำรุงผิว, เพิ่มความชุ่มชื่น, ถนอมผิวไม่ให้แห้งกร้าน ทำหน้าที่ Anti-Oxidant ได้เป็นอย่างดี

4. Rice Mist- สเปร์ยน้ำแร่ที่อุดมด้วยสารสกัดมาจากข้าวหอมมะลิ 100% จากฟาร์มเกษตรอินทรีย์ในจ.เชียงใหม่ “พร้าว กรีน วัลเล่ย์ ฟาร์มสเตย์ – Phrao Green Valley Farmstay) ที่ปลูกข้าวตามหลักมาตรฐาน GMP ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าในเวลากลางคืน และเพื่อช่วยให้ผิวรู้สึกผ่อนคลายระหว่างวัน Rice Mist for Face ที่จะช่วยผลัดเซลล์ผิว พร้อมเผยผิวใหม่ที่โกลว์สวยเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยกระชับรูขุมขน ลดความมัน และลดเลือนริ้วรอย ด้วยคุณค่าจากข้าวหอมมะลิผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ และอนุมูลอิสระต่างๆ อุดมด้วยสาร Anti-Oxidant, Vitamins C และ E เพื่อเติมน้ำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น

5. Shower Gel Mint- บ้านบัวบาน (Baan Bua Bahn) นำเอาพืชสมุนไพรจำพวก มิ้นต์ ที่ปลูกภายในสวนที่บ้านมาแปรรูปด้วยการทำเป็น Mint Shower Gel มาสกัดเพื่อให้ได้ ไฮโดรโซล (Hydrosol) หรือน้ำมันหอมระเหย ที่สกัดด้วยไอน้ำและนำไปผสมกับน้ำหอมแต่งกลิ่น จนทำให้เกิดเป็น Organic Freshly Squeezed Mint Shower Gel ภายใต้แบรนด์ Baan Bua Bahn Collection Sense of Nature โดยมิ้นต์จะช่วยให้หอมสดชื่น รู้สึกเย็นสบาย เพิ่มความตื่นตัว มีสมาธิ ช่วยลดอาการสิวอักเสบ ลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ทำให้ผิวเรียบใส ชุ่มชื่น ขาวขึ้น ลดริ้วรอยตื้นๆ และลดขนาดรูขุมขน ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ลดอาการคัน และระคายเคืองของผิว ช่วยผลัดเซลล์เก่าออกอย่างอ่อนโยน ปรับสมดุลการผลิตน้ำมันบนผิว

6. Hemp Oil- น้ำมันกัญชง (CBD Oil, Hemp Oil) หรือ น้ำมันเมล็ดกัญชง (Hempseed Oil) เป็นน้ำมันพืชสกัดจากเมล็ดกัญชง โดยการสกัดเย็นที่ต้องผ่านการควบคุมและผ่านมาตรฐานตามที่กำหนด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และต้องมีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol: THC) และสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol: CBD) ในจำนวนที่น้อยมาก ซึ่งน้ำมันเมล็ดกัญชงจะช่วยบรรเทาอาการโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ช่วยลดอาการปวดและอักเสบ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ และช่วยบำรุงสมอง รวมไปถึงการช่วยบำรุงผิว บำรุงสุขภาพ ทั้งนี้ยังสามารถนำไปแตกเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีก อาทิ น้ำมันนวดกัญชง, ครีมบำรุงผิวหน้าจากกัญชง, น้ำหอมกัญชง, สบู่กัญชง และเซรั่มกัญชง

7. ชามะลิ (Jasmine Tea)- ชามะลิ คือ ชาที่มีรสชาติหวาน และกลิ่นหอมละมุนคล้ายกับน้ำหอมจากธรรมชาติ ซึ่งชามะลิมาจากการนำใบชาชนิดหนึ่งมาผสมกับดอกมะลิ โดยปกติจะเป็นชาเขียวแต่อาจเป็น ชาขาว ชาดำ หรือชาอู่หลงก็ได้ โดยชามะลินั้นช่วยในเรื่อง การผ่อนคลาย และลดความเครียดได้เป็นอย่างดี จึงได้พัฒนาชามะลิ ด้านบรรจุภัณฑ์ ด้านสี กลิ่น รส ให้เป็นสินค้าฮาลาลส่งออกสู่ตลาดฮาลาลสากล

8. Seven Day tea (ชา 7 สี 7 วัน) – ชาที่มีส่วนผสมทั้งหมดเป็นวัตถุดิบของไร่ชา สุวิรุฬห์ ออร์แกนิค 100% ซึ่งได้พัฒนา และรวบรวมชา รวมไปถึงวัตถุดิบจำพวกสมุนไพรอื่นๆ ที่ให้สีตามวันทั้ง 7 วันไว้ด้วยกันประกอบด้วย Ginger Tea, Lemongrass Tea, English Breakfast, Jasmine Tea, Peppermint Tea, Oolong Tea, Darjeeling Tea ใส่ลงในบรรจุภัณฑ์ที่ได้ออกแบบ และพัฒนาให้มีความน่าสนใจ จนสามารถส่งออกสู่ตลาดฮาลาลสากลได้

9. กล้วยตากธรรมชาติ- กล้วยตาก หวานฉ่ำ ตากด้วยแดดธรรมชาติ อร่อยแบบสายคลีนเป็นของกินเล่นที่อร่อย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก โดยกล้วยตากเป็นการถนอมอาหารแบบง่ายๆ ที่คนไทยสืบทอดต่อกันมา สามารถทานได้ในครัวเรือน และวางขายได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย ผู้พัฒนาจึงได้พัฒนาออกแบบรรจุภัณฑ์ให้กับกล้วยตากธรรมชาติ ให้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น

10. กล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์- เป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบในท้องถิ่น ด้วยการพัฒนาให้เกษตรกรนำไปต่อยอด แปรรูป และลดต้นทุนการผลิต แถมยังสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกร จากกล้วยราคาหวีละ 10-12 บาท เพิ่มเป็น 100 บาท ด้วยการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในต่างประเทศได้ และสร้างตลาดในต่างประเทศให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปให้มีมูลค่าสูงได้อีกด้วย

 

สำหรับเกษตรกร และประชาชนทั่วไปที่ต้องการข้อมูลผลิตภัณฑ์ และข้อมูลโครงการ “การพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือน โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบยั่งยืน ภาคเหนือตอนบน 1” สามารถดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
– https://sites.google.com/view/halal-smart-farm
– https://www.facebook.com/HSC.CU.CM?mibextid=ZbWKwL
– https://www.facebook.com/HalalSmartFarm?mibextid=LQQJ4d
#HalalSmartFarm #HSCCM

เทศบาลเมืองแม่โจ้สุดเจ๋งโครงการ”ขยะจะไม่แขยง ถ้าเราร่วมแรงคัดแยกขยะ” จากเศษขยะกลายเป็นขยะทำเงิน

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมใหญ่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานเปิดโครงการแม่โจ้เมืองสีเขียว ที่ประสบความสำเร็จแก้ขยะมูลฝอยจากขยะไร้ค่าเป็นขยะทองคำทำเงินมีความสุขถ้วนหน้า นำโดยนายกฯคนเก่ง นายประหยัด ทรงคำ นายกเทศมนตรีเมืองแม่โจ้ โดยมีการจัดโชว์ผลงานจากการนำเศษขยะมาทำปู๋ยหมักและวัสดุเหลือใช้มาประดิษสิ่งขอสามารถจำหน่ายทำงินแก่ชุมชนต่างๆของแม่โจ้


ความเป็นมาของโครงการ เนื่องจากเทศบาลเมืองแม่โจ้ประสบปัญหาเรื่องขยะมูลฝอย และสิ่งแวดล้อมมาโดยต่อเนื่อง เช่นเดียวกับปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วไป เทศบาลเมืองแม่โจ้ต้องใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาที่สูงมาก ปีละไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท และก็พยายามแก้ไขปัญหา มาโดยต่อเนื่อง


เมื่อปี พ.ศ. 2564 นายประหยัด ทรงคำ นายกเทศมนตรีเมืองแม่โจ้ ได้แถลงนโยบายต่อสภาเทศบาลที่จะแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และเห็นว่าเป็นปัญหาที่สำคัญเร่งด่วนปัญหาหนึ่งของเทศบาลเมืองแม่โจ้จึงได้เริ่มจัดทำโครงการแม่โจ้เมืองสีเขียวขึ้น ในปีงบประมาณ 2565 ภายใต้แนวคิด”ขยะจะไม่แขยง ถ้าเราร่วมแรงคัดแยกขยะ” เป็นการอบรมให้ความรู้เชิงปฏิบัติการ ระดมความคิดเห็นในลักษณะของห้องปฏิบัติการทางสังคม Social Lab จึงได้ข้อสรุปว่า ขยะเกิดจากตัวเรา ใครก็แก้ไม่ได้ ถ้าเราไม่ช่วยกัน และได้มีมติร่วมกันว่า การจัดการแก้ไขปัญหาขยะที่ดีที่สุด คือ การจัดการขยะต้นทางในปีงบประมาณ 2565 ได้ตั้งงบประมาณต่อยอดโครงการ โดยการอบรมภายใต้โครงการเงินอุดหนุน โครงการพัฒนาระบบสุขาภิบาลในชุมชน ในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีให้กับชุมชน 19 ชุมชน ประกอบด้วย กิจกรรมอบรมให้ความรู้ การจัดทำถังขยะเปียก การคัดแยกขยะ การซื้อขายขยะ การจัดตั้งธนาคารขยะ

ที่สำคัญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิ์ถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม การซื้อขาย ขยะของชุมชน และได้มอบนโยบายเรื่องแก้ไขปัญหาหมอกควันโดยขอให้ประชาชนงดเผาเศษกิ่งไม้และให้ใช้ใบไม้มาทำปุ๋ย


ต่อมา เทศบาลเมืองแม่โจ้ ได้จัดอบรมให้ความรู้ในการทำปุ๋ยหมักจากใบไม้ไม่พลิกกลับกอง โดยใช้สูตรวิศวกรรมแมโจ้ 1 และจัดให้มีการประกวดแข่งขัน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม กระตุ้น สร้างจิตสำนึก และเป็นขวัญกำลังใจกับผู้ร่วมโครงการ บัดนี้ กิจกรรมต่างๆ ที่เทศบาลเมืองแม่โจ้ได้ร่วมทำกับชุมชน 19 ชุมชน ผู้ร่วมกิจกรรมประมาณหนึ่งพันกว่าคนได้เสร็จสิ้นแล้ว สามารถทำให้เทศบาลเมืองแม่โจ้ แก้ไขปัญหาขยะได้ มีปริมาณขยะจากต้นทางลดลง ประชาชนมีการคัดแยกขยะเพิ่มขึ้น ชุมชนจัดทำถังขยะเปียกมากกว่า 90% มีการซื้อขายขยะในชุมชน ชุมชนมีรายได้

และที่สำคัญได้นำข้อดำริจาก ผวจ.เชียงใหม่​ดำเนินการทำปุ๋ยหมักจากใบไม้และทำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆจากวัสดุเหลือใช้แทนที่จะนำไปทิ้งและนำกลับมาประดิษฐ์ สิ่งของเครื่องใช้ไม่ว่าจะทำโคมไฟ หมวก กระถาง และสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวันจนเป็นสินค้าของชุมชนต่างๆของเทศบาลเมืองแม่โจ้จากรายได้ให้กับชุมชนต่างๆด้วย//
วันนี้ทั้ง 19 ชุมชน ได้นำมาจัดนิทรรศการและนำเสนอผลงานสามารถนำปุ๋ยใบไม้ที่ได้ไปใช้ในชุมชน และวางจำหน่ายแล้ว ผู้ร่วมโครงการอบรมในวันนี้ ประกอบด้วย คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ประธานชุมชน คณะกรรมการชุมชน ประชาชนในชุมชน จำนวน 300 คน การจัดโครงการแม่โจ้เมืองสีเขียว ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ วัด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โรงเรียน ภาคเอกชน องค์กร ชุมชน

 

โดยทางนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวรผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดปุ๋ยหมักไม่พลิกกลับกอง และการบริหารจัดการขยะ ระดับชุมชนและครัวเรือน สำหรับเงินรางวัลในการประกวด แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระดับชุมชน และ ระดับครัวเรือน รางวัลชนะเลิศ ระดับชุมชนเงินรางวัล 10,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ระดับชุมชน เงินรางวัล 5,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ระดับชุมชน เงินรางวัล 4,000 บาท, รางวัลชนะเลิศระดับครัวเรือน เงินรางวัล 4,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ระดับครัวเรือน เงินรางวัล 3,000 บาท,รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ระดับครัวเรือน เงินรางวัล 2,000 บาท


ในขนะนี้เทศบาลเมืองแม่โจ้ ได้ผลิตปุ๋ยหมักสูตร วิศวกรรมแม่โจ้ 1 ได้ชุมชนละ 1,500 กิโลกรัม รวม 19 ชุมชน ได้จำนวน 28,500 กิโลกรัม บรรจุกระสอบละ 5 กิโลกรัม รวม 5,700 กระสอบ จำหน่วยกระสอบละ 35 บาท / 3 กระสอบ 100 บาทเป็นเงิน 199,500 บาท ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ นายนายธนวัฒน์ ปาขันธ์ โทร 081-0354559, นางเพลินจิตร์ ศรีทิ โทร 089-4320947, นางพรรณนิภา สายหยุด โทร 06-52381015 ได้.

อบจ.เชียงใหม่เตรียมจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ONEhd 31 3rd SEA V League  ระหว่างวันที่ 11-13 สิงหาคม 2566 ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่  ได้มีการประชุมการเตรียมการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ONE HD 31 3rd SEA V League ระหว่างวันที่ 11 – 13 สิงหาคม 2566 ครั้งที่ 1/2566  โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่  นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย นายสงค์ศักย์ คำดีรุ่งริรัตน์ ผู้อำนวยการ การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่  และพล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมการประชุมพร้อม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการแข่งขันในครั้งนี้

โดยสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ณ สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีทีมจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 4 ประเทศ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่  กล่าวว่า นอกจากการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงแล้วยังได้มีการเดินทางมาตรวจสนามแข่ง ณ สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย ทั้งเรื่องแสงไฟ เรื่องเครื่องปรับอากาศที่ใช้งบประมาณจำนวน 15 ล้านบาท แล้วยังมีการปรับปรุงในส่วนของห้องพักนักกีฬา ห้องกรรมการและห้องน้ำ เรียกได้ว่าปรับปรุงทุกส่วนเพื่อให้พร้อมแข่งขันได้

ซึ่งสนามแห่งนี้สามารถจุผู้เข้าชมได้ประมาณ 3,000 คน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าคนเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงจะเดินทางมาเข้าชมจำนวนมากบัตรซึ่งจะจำหน่ายราคา100บาทและ 150 บาทเข้าชมอาจจะไม่เพียงพอโดยจะมีการเสริมจอแอลอีดี ให้ผู้เข้าชมที่ไม่สามารถจะเข้ามาดูในสนามแข่งได้ชมได้ คาดว่าอีกไม่เกิน 20 วันจะแล้วเสร็จ

ด้านนายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า วอลเลย์บอลหญิงไทยจะมีการผสมผสานชุดใหญ่กับชุดสำรองซึ่งในขณะนี้เก็บตัวอยู่ประมาณ 20 คน ในขณะเดียวกันต้องดูในสถานะของทีมเราที่เป็นเบอร์ 1 ในอาเซียน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอาชุดที่ดีที่สุดลงแข่งจะไม่ให้เสียชื่อในฐานะที่เราเป็นแชมป์อาเซียนมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเราก็ต้องพิจารณาถึงอนาคตข้างหน้าด้วยว่ามีการแข่งขันหลายรายการทั้งชิงแชมป์เอเชีย ทั้งคัดเลือกโอลิมปิกและยังมีรายการเอเชียนเกมส์อีก เพราะฉะนั้นเรามีรายการหนักๆทั้งนั้นจึงต้องปรับเปลียนนักกีฬาไปตามสถานการณ์

พาณิชย์เชียงใหม่ ยกขบวนผู้ประกอบการล้านนา โชว์ศักยภาพผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์Lanna Soft Power เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างโอกาสพัฒนาต่อยอดทางการตลาด

กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ นำผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการจังหวัด ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor : NEC) เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงรายมาประชาสัมพันธ์และจัดแสดงผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ ภายในงาน Lanna Expo 2023 บริเวณโซน 3 ระหว่างวันที่ 3 – 9 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00 น. – 20.00 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 200 คูหา

​นางนัยนภัส สังขนุกิจ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์และจัดแสดงผลิตภัณฑ์ เชิงสร้างสรรค์ “Lanna Soft Power เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ภายใต้โครงการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจมูลค่าสูงภาคเหนือ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ว่าเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการต่อจากกิจกรรมการสร้างเครือข่ายและต่อยอด องค์ความรู้เชิงสร้างสรรค์ และกิจกรรมยกระดับผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อารยธรรมล้านนาสู่สากล

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนและสร้างโอกาสให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการสินค้าสร้างสรรค์/สินค้ามูลค่าสูง เข้าสู่ตลาดใหม่ และขยายช่องทางการตลาด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยการสร้างรายได้และกระตุ้นการใช้จ่าย ของประชาชน และเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้าสร้างสรรค์ สินค้ามูลค่าสูง รวมทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และสร้างความน่าสนใจให้กับผู้บริโภค

นายวันชัย วราวิทย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าการจัดงาน “Lanna Soft Power เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ตามกิจกรรมประชาสัมพันธ์และจัดแสดงผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ คาดหวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นการสร้างโอกาสทางการค้า อย่างยั่งยืนให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ สินค้าสร้างสรรค์มูลค่าสูง (เกษตรเพิ่มมูลค่า สินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าไลฟสไตล์) ของจังหวัดระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ Northern Economic Corridor : NEC ) เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย) โดยการส่งเสริมการตลาดสินค้าของท้องถิ่นให้สามารถแข่งขันในตลาดทุกระดับ ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้การบริโภคภายในประเทศ และเศรษฐกิจท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อน

ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการประชาสัมพันธ์ความเป็นเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และแสดงผลงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการ นิทรรศการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ของตราสัญลักษณ์ เชียงใหม่แบรนด์ เชียงรายแบรนด์ ลำปางแบรนด์ และลำพูนแบรนด์ กิจกรรม Workshop ด้านงานศิลปหัตถกรรม การสร้างสรรค์งานคราฟท์ กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ กิจกรรมเสวนา “เชียงใหม่กับการสร้างสรรค์งานคราฟท์ และ ทิศทางการตลาด” การแสดงของศิลปินดารานักร้อง คุณเข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล และการแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กิจกรรมช้อปสินค้านาทีทอง และกิจกรรมส่งเสริมการขายลุ้นรับของรางวัลมากมายภายในงาน

เชียงใหม่จัดวิ่งเทรลDoi Inthanon Thailand By UTMB® 2023 พร้อมรับนักวิ่งเทรลทั่วโลกเข้าแข่งขัน

เปิดฤดูกาล Doi Inthanon Thailand By UTMB® 2023 พร้อมรับนักวิ่งเทรลทั่วโลกเข้าแข่งขันสนามเมเจอร์ จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคม 2566 และได้มีการเปิดระบบรับสมัครอย่างไม่เป็นทางการล่วงหน้า โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมการแข่งขันแล้วกว่า 2,200 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ย้ำชัด ประเทศไทยคือ “หนึ่งในศูนย์กลางกีฬาวิ่งเทรลของโลก และเป็นหนึ่งเดียวของทวีปเอเชีย-แปซิฟิก”

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ที่หอคำหลวง อุทยานหลวงงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ นายสิรภพ ดวงสอดศรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในการแถลงข่าว Doi Inthanon Thailand by UTMB 2023 โดยมี พร้อมด้วยนายเขมพล อุ้ยตยะกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการ ฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ Mrs.Sabrina De Nadai DUMONT ผู้แทนจาก UTMB Asia ร่วมแถลงข่าวเปิดรับสมัคร Doi Inthanon Thailand by UTMB 2023

นายสิรภพ ดวงสอดศรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ประเทศไทยได้สร้างผลงานอย่างยอดเยี่ยมจากการจัดในปีที่ผ่านมา ทาง UTMBI (Ultra-Trail du Mont-Blanc International) จึงมอบสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพสนามเมเจอร์ประจำเอเชีย-แปซิฟิกต่อเนื่องไปอีก 2 ปี ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงาน และยกระดับการจัดการแข่งขันในทุกปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายการนี้เป็นที่ยอมรับจากนักวิ่งเทรลทั่วโลกที่เดินทางมาร่วมแข่งขัน ขณะนี้จึงสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ในวันนี้ประเทศไทยคือ “หนึ่งในศูนย์กลางกีฬาวิ่งเทรลของโลก และเป็นหนึ่งเดียวของทวีปเอเชีย-แปซิฟิก” และถือเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศ ที่จะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในแต่ละปีนับร้อยล้านบาท

โดยเฉพาะปี 2566 นี้ในรายการ Doi Inthanon Thailand by UTMB® คาดว่าจะมีนักกีฬา และ ผู้ติดตามกว่า 15,000 คน ที่เดินทางมาจากทั่วโลก ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้มากกว่า 800 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน

นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการ การกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาอาชีพ และกีฬามวย ได้กล่าวถึงการจัดการแข่งขันในปี 2566 ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ การย้ายศูนย์กลางการจัดการแข่งขันจากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มาอยู่ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสามารถรองรับนักกีฬา และผู้ติดตามได้นับหมื่นคน โดยปีนี้จะทำการจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคม 2566 และได้มีการเปิดระบบรับสมัครอย่างไม่เป็นทางการล่วงหน้า โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมการแข่งขันแล้วกว่า 2,200 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก

ด้าน Mrs.Sabrina De Nadai DUMONT ผู้แทน UTMB เอเชีย กล่าวชื่นชมในความสำเร็จ และการมีมาตรฐานการจัดการแข่งขันและการทำงานที่สูง จนเป็นที่ยอมรับจากนักกีฬา และ Committee ของ UTMBI (Ultra-Trail du Mont-Blanc International)

การแข่งขัน Doi Inthanon Thailand By UTMB® 2023 นี้ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคม 2566 ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยแบ่งประเภทการแข่งขัน 6 ระยะ ได้แก่ TRANS-INT 160 ระยะทาง 179 กิโลเมตร ความสูงสะสม 9,000 เมตร, ELEPHANT 100 ระยะทาง 94 กิโลเมตร ความสูงสะสม 4,970 เมตร, HMONG 50 ระยะทาง48 กิโลเมตร ความสูงสะสม 2,410 เมตร, PALACE 20 ระยะทาง 25 กิโลเมตร ความสูงสะสม 1,220 เมตร, RAJAPRUEK 10 ระยะทาง 10 กิโลเมตร ความสูงสะสม 290 เมตร, WARM UP RUN ระยะทาง 3 กิโลเมตร เส้นทางการแข่งขันนั้นได้มีการปรับเส้นทางการแข่งขันให้ผ่านจุดธรรมชาติที่สวยงาม และมีชื่อเสียงที่สถานที่ท่องเที่ยวหลักและรองของจังหวัดเชียงใหม่ ปรับให้ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน วัด เพื่อให้นักวิ่งได้สัมผัสบรรยากาศที่น่าประทับใจ โดยผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขันได้ที่ https://inthanon.utmb.world/

นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการ ฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า การจัดงานวิ่งเทรลดังกล่าว เป็นครั้งที่ 4 ของการวิ่งที่ดอยอินทนนท์ และเป็นการวิ่งครั้งที่ 2 ของเมเจอร์ประจำเอเชีย-แปซิฟิก ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่จัดวิ่งที่ดอยอินทนนท์ วันนี้ที่ดอยอินทนนท์คับแคบไปแล้วสำหรับการจัดวิ่งดังกล่าว ไม่สามารถที่จะรองรับนักวิ่งที่เดินทางมาจากทั่วโลกมาวิ่งกันจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นห่วงเรื่องระบบนิเวศน์ จึงได้พิจารณาสถานที่ที่เหมาะสม ก็เลือกเอาที่หอคำหลวง อุทยานหลวงงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ เพราะมากด้วยความสวยงาม และมั่นใจว่านักวิ่งทั้งชาวไทยและต่างชาติประทับใจกับบรรยากาศที่สวยสดงวดงาม และในช่วงเดือนธันวาคม อากาศที่เย็นสบาย ไม่มีบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้แล้ว

“ได้เลือกเส้นทางไว้หลายระยะ เราจะกระจายไปวิ่งในชุมชนต่างๆ เช่น จัดนักวิ่งไปออกสตาร์ท ที่ อ.จอมทอง ไปตามตำบลอื่นๆบ้าง ประมาณ 4-5 แห่ง และสุดท้ายทุกคนมาจบที่เส้นทางแห่งนี้ คือ ที่อุทยานหลวงงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่แห่งนี้ อย่างไรก็ก็ตามทีมทำงานของหาและเลือกจุดออกสตาร์ทที่เหมาะสม เพื่อกระจายรายได้ไปยังจุดออกสตาร์ทในพื้นที่ต่างๆในอำเภอต่างๆ ซึ่งขอเวลาคณะทำงานจะสรุปได้ในช่วง 1 เดือนนี้ จะได้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น”

สำหรับข้อกังวัลว่าการวิ่งเทรลจะกระทบกับธรรมชาติที่เสียหายทำให้นักอนุรักษ์ไม่เห็นด้วยนั้น นายทนุเกียรติ กล่าวว่า “การวิ่งเทรล เราเข้าใจความรู้สึกและเคารพนักอนุรักษ์ เพื่อคลายความกังวล เราเองได้พยายามเต็มที่แล้วที่กำหนดเส้นทางวิ่งที่เป็นเส้นทางแนวกันไฟอยู่แล้ว ไม่วิ่งในเส้นทางกำหนดใหม่ ไม่กระทบกับระบบนิเวศ

TAGTHAiแพลตฟอร์มท่องเที่ยวแห่งชาติ เปิดตัว “เชียงใหม่พาส ซิตี้พาสใบแรกของจังหวัดเชียงใหม่ ในคอนเซ็ปท์ กิน เที่ยว ครบ จบในบัตรเดียว

TAGTHAi (ทักทาย) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวแห่งชาติ เปิดตัว “เชียงใหม่พาส (Chiang Mai Pass)” ซิตี้พาสใบแรกของจังหวัดเชียงใหม่ ในคอนเซ็ปท์ กิน เที่ยว ครบ จบในบัตรเดียว

TAGTHAi (ทักทาย) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวรูปแบบดิจิทัลแห่งชาติ ที่รวบรวมบริการด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ แบบไร้ขีดจำกัด นำเสนอรูปแบบประสบการณ์การท่องเที่ยวในหลากหลายมิติ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ขานรับการท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตในรูปแบบดิจิทัล เปิดตัว “เชียงใหม่พาส (Chiang Mai Pass)” ซิตี้พาสที่ตอบโจทย์และอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในรูปแบบบัตรรวมสถานที่ท่องเที่ยว หรือ Multi-attraction City Pass หวังสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวฉบับใหม่ ด้วยการรวบรวมและเชื่อมต่อบริการ สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร  และสปา  รวมถึงร้านค้าต่าง ๆ จากผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่า 60 ราย เข้า เสริมทัพและตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวหลักของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย

นายกลินท์ สารสิน ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะจัดการ บริษัท ไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้งแอปฯ TAGTHAi กล่าวว่า “จากความสำเร็จของ TAGTHAi (ทักทาย) แพลตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยว ที่เปิดตัว Bangkok pass, Golf pass, ONESIAM pass ในช่วงที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นกว่า 700,000 ครั้ง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า TAGTHAi (ทักทาย) นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว “เชียงใหม่พาส” ตัวช่วยอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ (Seamless) และไร้สัมผัส (Contactless) ในรูปแบบของซิตี้พาส กิน เที่ยว ครบ จบในบัตรเดียว โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ ซึ่งถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีโดยคนท้องถิ่นด้วยตัวคุณเอง จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ดี สะดวกสบาย และคุ้มค่าจากพันธมิตรธุรกิจของเราทั่วจังหวัดเชียงใหม่กว่า 60 ราย ”

ซึ่ง TAGTHAi (ทักทาย) เป็นแพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 คาดว่า รายได้จากการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ให้ความสำคัญการเว้นระยะห่างและลดการสัมผัส ทำให้เชื่อว่า TAGTHAi (ทักทาย) จะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการจับจ่ายภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีเชี่ยวชาญในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อวางแผนการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว

“นอกจาก TAGTHAi (ทักทาย) จะตอบโจทย์ครบจบในบัตรเดียวสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว เรายังมุ่งหวังให้คนท้องถิ่น หรือผู้ประกอบรายย่อยใช้ “เชียงใหม่พาส” เป็นอีกหนึ่งช่องทางจัดจำหน่าย และขยายฐานลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสเพิ่มรายได้บนช่องทางดิจิทัล เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างและหลากหลายมากขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนท้องถิ่น” นายกลินท์ กล่าว

สำหรับ TAGTHAi (ทักทาย) คือแพลตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวในทุกมิติ ตั้งแต่การให้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ช่วยวางแผนการท่องเที่ยว และเชื่อมโยงไปยังระบบการจองที่พัก และตั๋วเครื่องบิน รวมไปถึงการร่วมกันพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล เทคโนโลยีระหว่างภาคเอกชนชั้นนำของประเทศกว่า 20 หน่วยงาน  โดยมีความมุ่งหมายให้เป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวแห่งชาติ (National Tourism Platform) ของคนไทย ในปัจจุบันมีการให้บริการ City Pass, การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม บริการให้ความช่วยเหลือสำหรับนักท่องเที่ยว (SOS) รวมไปถึงการให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวต่างๆ

โดยนักท่องเที่ยวสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน TAGTHAi ได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Play Store และสามารถซื้อ Chiang Mai TAGTHAi Pass ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,490 บาท พร้อมใช้รหัสส่วนลด (Promo Code) CNX100 เพื่อรับส่วนลดจำนวน 100 บาท สำหรับทุกการซื้อ (จำกัดเพียง 100 ท่านแรก) นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่สนใจ

มาป่ะกั๋นตี๊เจียงใหม่เจ้า…..นาย ใบเฟิร์น พรีเซ็นเตอร์คู่ Better Together สุดปัง! มอบมหัศจรรย์ความสุข ของการรวมทรูดีแทค ให้จาวเหนือกุ้มแต๊กุ้มว่า

3 มิถุนายน 2566 – ทรู คอร์ปอเรชั่น ชูภาพเทเลคอม เทคคอมปานี ที่มุ่งนำเทคโนโลยีเข้าถึงทุกคนและทำให้ชีวิตดียิ่งขึ้นในทุกวัน เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งกว่าจากการรวมทรูดีแทค ด้วยกิจกรรมโรดโชว์ นำพรีเซ็นเตอร์คู่ใหม่ นาย-ใบเฟิร์น ขึ้นเหนือแอ่วเชียงใหม่ เรียกกระแสความฟินทะลุจอไปทั่วเมือง จากวิดีโอโฆษณาออนไลน์ซีรีส์ 5EP ในแนวมัลติเวิร์ส ที่ใหม่และแปลกตา เพิ่มความผูกพันของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ทรู พร้อมสานต่อแนวคิด Better Together ชีวิตดีกว่า เมื่อมีกันและกัน ด้วย 5 สิ่งที่ดีกว่าคือ 1.เครือข่ายที่ดีกว่า 2. แพ็กเกจที่คุ้มกว่า 3.ความบันเทิงที่เต็มอิ่มกว่า 4. สิทธิพิเศษที่เหนือกว่า 5. คุณภาพบริการที่ล้ำกว่า ยกขบวนสินค้าที่ครบกว่า คุ้มกว่า เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงชีวิตดิจิทัล และ5G ที่ดีที่สุด ด้วยสมาร์ทโฟนแบรนด์ดังราคาพิเศษ แพ็กเกจที่ดีที่สุด ครบ คุ้ม ได้เยอะแบบไม่เคยมีมาก่อน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชาวเหนือ รวมถึงเน็ตบ้านที่แรงคุ้มยิ่งกว่า และดิจิทัลโซลูชั่นส์เพื่อบ้านอัจฉริยะจาก TrueX พร้อมคอนเทนต์บันเทิงระดับโลกจากทรูวิชั่นส์

นายฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “หลังการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำ เทเลคอม-เทคโนโลยี ที่มุ่งนำเทคโนโลยีเข้าถึงทุกคนและทำให้ชีวิตดียิ่งขึ้นในทุกวัน ทำให้ลูกค้าทั้งแบรนด์ทรูและดีแทคได้รับประโยชน์จากคุณภาพเครือข่ายที่ดีขึ้น และสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยบริการ 5G บนคลื่น 2600 MHz และความครอบคลุมของเครือข่าย 4G/5G ที่ดีขึ้นบนคลื่น 700 MHz ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเพลิดเพลินกับผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายครบวงจรตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัลยิ่งขึ้น ทั้งโมบายล์จากแบรนด์ทรู 5G และดีแทค 5G เน็ตบ้านทรูกิกะเทคไฟเบอร์จากทรูออนไลน์ ดิจิทัลโซลูชันส์เพื่อชีวิตอัจฉริยะจากทรูเอ็กซ์ พร้อมคอนเทนต์บันเทิงระดับโลกจากทรูวิชั่นส์


หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของทีมการตลาดคือการเร่งสร้างการรับรู้สิ่งที่ดียิ่งกว่าของทรูใน 5 แกน ทั้ง เครือข่าย แพ็กเกจความบันเทิง สิทธิพิเศษและคุณภาพบริการที่ล้วนดียิ่งขึ้นภายหลังการรวมธุรกิจ อันจะเป็นกลยุทธ์หลักในการรุกตลาดชูความโดดเด่นของการรวมกันของสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่า และคุ้มค่ากว่าให้ลูกค้าของเรา ภายใต้แนวคิด Better Together โดยนำพรีเซ็นเตอร์ นาย และใบเฟิร์น ซึ่งเป็นคู่ที่น่ารัก ลงตัว สามารถสร้างพลังงานเชิงบวก มีเสน่ห์ เข้าถึงได้ และมีความเป็นตัวตนที่แท้จริง ตรงกับบุคลิกภาพของแบรนด์ทรู ซึ่งถ่ายทอดในรูปแบบซีรีส์ 5 EP. แนวมัลติเวิร์ส ให้ทั้งคู่พบกันในเวิร์ส หรือมิติต่างๆ มาถ่ายทอดจุดยืนแบรนด์ทรูและดีแทคในการส่งมอบสินค้าและบริการที่เข้าใจในความต้องการอย่างแท้จริง และโปรโมตสินค้าและบริการเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ซึ่งได้รับการตอบรับและประสบความสำเร็จอย่างสูง


ในวันนี้ทรู ตั้งใจจะนำนายและ ใบเฟิร์น มามอบมหัศจรรย์ความสุขของการรวมทรู ดีแทค พร้อมกับสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าทรูและดีแทคในงาน Better Together Festival ที่เชียงใหม่ และทุกภาคทั่วประเทศไทย รวมถึงข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดของแพ็กเกจสมาร์ทโฟน เพื่อช่วยขจัดข้อจำกัดในการเข้าถึงวิถีดิจิทัลของคนไทยทั่วประเทศ

นางสาวทิพยรัตน์ แก้วศรีงาม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการจัดการระดับภูมิภาค บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การรวมกันของทรู ดีแทค เป็นการรวมสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อยกระดับมาตรฐานประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าทั่วประเทศกว่า 50.5 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการดูแลและให้บริการลูกค้า โดยได้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยในการวิเคราะห์ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น ทั้งการนำเสนอสินค้าบริการ การมอบสิทธิพิเศษ ตลอดจนช่องทางการเข้าถึง O2O ผ่านการผนึกพลังทั้งออฟไลน์ในเครือทั่วประเทศและออนไลน์แบบ 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าจะได้สัมผัสสุดยอดประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง และไร้รอยต่อในทุกจุดบริการ รวมทั้งยกระดับบริการหลังการขายที่นำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ทำให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น


กิจกรรม Better Together Festival ที่เชียงใหม่และในภาคเหนือ ในครั้งนี้ เราต้องการนำเอาประโยชน์จากการใช้บริการของทั้งแบรนด์ทรูและดีแทค ที่เพิ่มมากขึ้นมามอบให้ผู้ใช้บริการในภาคเหนือ ได้สัมผัสประสบการณ์ ชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเรามีกันและกัน โดยได้จัดแพ็กเกจและสิทธิพิเศษมาเอาใจหมู่เฮาจาวเหนือตลอด เดือน มิ.ย. – ก.ค. 66ประกอบด้วย”
Wonderful deal แพ็กเกจพิเศษสุดเฉพาะคนบ้านเฮาจาวเหนือ

คุ้ม! ได้ใจคนทุกวัย
1) นักเรียน นักศึกษา – เฉพาะลูกค้าทรู รับสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สมัครแพ็ก Super You Sim ภายในงาน Better Together Festival รับเพิ่ม อินเทอร์เน็ต 5GB และ เติมเงิน มูลค่า 100 บาท
2) วัยเก๋า – เฉพาะลูกค้าทรู สิทธิพิเศษสำหรับคนสูงวัย…เติมเงิน 250 บาท (ใช้เบอร์เดิม หรือเปิดเบอร์ใหม่ภายในงาน Better Together Festival) รับเน็ต 4Mbps (50 GB) ใช้งานได้ 30 วัน รับฟรี สิทธิ์ ปรึกษาหมอดี 1 ครั้ง/FWD ประกันชีวิตฟรี 30 วัน/True Coupon 100 บาท ใช้แลกซื้อสินค้าได้ที่ 7-Eleven/Lotus’s/Makro

คุ้ม! ได้ใจสายมู เป็นเจ้าของ เลขหงส์ เลขมังกรแท้ ในราคาสุดคุ้ม! เลขมหาเศรษฐี มีบารมี รับเงิน ก้อนโต เบอร์มังกรแท้ 789 เบอร์หงส์แท้ 289 เพียงสมัคร พร้อมแพ็กเกจรายเดือน 5G Together รับเพิ่มสิทธิพิเศษ Wonderful Pack ในราคา เริ่มต้นเพียง 699 ต่อเดือน

คุ้ม! ได้ใจสายเกม
1) UP2U Top Up – เฉพาะลูกค้าทรู สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สมัครแพ็ก UP2U รับคูปองพิเศษ ฟรี McDonald’s ภายในงาน Better Together Festival *มีจำนวนจำกัด
2) Game Up – เฉพาะลูกค้าทรู 5G Better Together Festival ตลอดเดือน พฤษภาคม ถึง กรกฎาคม 2023 พบกับแพ็กเกจสำหรับลูกค้า Truemove H รับส่วนลดเติมเกมที่กำหนด 16% สูงสุด 500 บาท (จากปกติแค่ 200 บาท) เพียงกรอกโค๊ด TOGETHER 1 เบอร์สามารถใช้โค๊ดได้ 3 ครั้ง ตลอดระยะเวลาแคมเปญ
3) Gaming Nation – เล่นได้ทุกเครือข่าย


สมาชิกใหม่ – ลูกค้าดีแทค สมัครสมาชิก Gaming Nation รับส่วนลด 15% สูงสุด 300 บาททันที เมื่อชำระผ่านเบอร์ดีแทค ลูกค้าทรูและทั่วไป สมัครสมาชิก Gaming Nation รับส่วนลด 5% สูงสุด 300 บาททันทีสมาชิกปัจจุบัน – ลูกค้าดีแทค เติมเกมลด 10% สูงสุด 150 บาท เมื่อชำระผ่านเบอร์ดีแทค
ลูกค้าทรูและทั่วไป เติมเกมลด 5% สูงสุด 200 บาท
4) Gaming Nation Play – เฉพาะลูกค้าดีแทค เล่น 1,800 เกมฟรีไม่อั้น 7 วัน เมื่อสมัคร Gaming Nation Play เพียง 59 บาทต่อสัปดาห์ รับสิทธิ์ได้ที่ ดีแทค แอป

คุ้ม! โดนใจ กับสมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง และเน็ตบ้านเสถียรกว่า ดูแลดีกว่า เลือกได้มากกว่า
1) สมาร์ทโฟน 4G/5G ราคาสุดพิเศษ พร้อมรับเน็ตเพิ่มรวม 20 GB นาน 6 เดือน มูลค่า 2,994 บาท เมื่อซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือน 5G Together หรือ 5G Better เริ่มต้น 499 บาท
ทรู: ซื้อมือถือคุ้มสุดซื้อที่ทรู รุ่นที่ร่วมรายการ
iPhone: iPhone 12 / iPhone 14 Series / True Brand: True A 5G /OPPO: A17K / A78 5G / Find N2 Flip 5G / Redmi: Note12 5G / Redmi Note 12 Pro 5G / Samsung: A04s / A14 5G / Realme: C33
ดีแทค: ครบดีถูก รุ่นที่ร่วมรายการSamsung: A14 5G / A23 5G / OPPO: A78 5G / Realme: 10T 5G
2) มือถือ iPhone ราคาสุดพิเศษ พร้อมรับเน็ตเพิ่มรวม 20GB นาน 6 เดือน เมื่อซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจรายเดือน 5G Together หรือ 5G Better เริ่มต้น 499 บาท รุ่นไฮไลท์ iPhone 12เริ่มเพียง 16,700 บาท iPhone 14 Series เริ่มเพียง 21,800 บาท เมื่อสมัครตามแพ็กเกจที่กำหนด
3) ทรูกิกะเทคไฟเบอร์ เสถียรกว่า ดูแลดีกว่า เลือกได้มากกว่า เน็ตบ้านเร็วแรงที่คนไทยใช้มากที่สุดพร้อมฟรี! อุปกรณ์อัจฉริยะและคอนเทนต์ระดับโลก แพ็กเกจเริ่มต้น 599 บาท พิเศษลดค่าแรกเข้า 50% เหลือเพียง 450 บาท จากราคาปกติ 890 เฉพาะในงาน Better Together Festival * รับฟรีกล้องCCTV 1ชิ้น
4) แพ็กเกจทรูกิกะเทคไฟเบอร์ พร้อม ทรูวิชั่นส์นาว ให้เลือกในราคาพิเศษ

คุ้ม! จุใจ ทั้งครอบครัว กับ TrueX และทรูวิชั่นส์
1) TrueX: X-Home ดูแลบ้านและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยครบวงจร อยู่บ้านให้ปลอดภัย สบายใจด้วย Smarter Kit pack ชุดเริ่มต้นบ้านอัจฉริยะพร้อมกล้องวงจรปิด สมัครวันนี้ รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ต่อที่ 1 จ่ายเพียง 199 บาท/เดือน จากปกติ 299 บาท ต่อที่ 2 รับส่วนลดบริการติดตั้งถึงบ้าน เหลือเพียง 770 บาท จากปกติ 1,380 บาท เมื่อจองผ่านแอป TrueX วันนี้ ถึง 31 ก.ค. 2566
2) ทรูวิชั่นส์แพ็กเกจแพลททินัม เอชดี และ แพ็กเกจโกลด์ เอชดี ครบทุกคอนเทนต์ชั้นนำ และกีฬาดังระดับโลกสมัคร พร้อมเน็ตทรู ติดตั้งด้วยอินโนไฮบริด พิเศษในงาน ฟรี! ค่าบริการจุดที่ 2 นาน 24 เดือน มูลค่ากว่า 10,000 บาท
3) ทรูวิชั่นส์แพ็กเกจสมาร์ท แฟมิลี่ เอชดี มีการ์ตูนดี สารคดีดัง หนังกีฬามันส์ แบรนด์ดังระดับโลก
สมัครพร้อมเน็ตทรู 1GB เพียง 999 บาท ติดตั้งด้วยอินโนไฮบริด
พิเศษในงาน รับส่วนลด 100 บาท นาน 12 เดือน มูลค่า 1,200 บาท /ฟรีค่าแรกเข้า
4) ทรูวิชั่นส์แพ็กเกจ แฮปปี้ แฟมิลี่ เอชดี แพ็กเริ่มต้นความสุข จุใจ ดูได้ทั้งครอบครัว
สมัครพร้อมเน็ตทรู 1 GB เพียง 799 บาท ติดตั้งด้วยอินโนไฮบริด พิเศษในงาน

Wonderful Together Gift & Lucky draw กินฟรี แลกฟรี หรือ รับส่วนลด และลุ้นกับของรางวัลมากมาย
1) กินฟรี แลกฟรี หรือส่วนลด กดรับ Code คูปองในแอป จากร้านค้าที่ร่วมรายการในเครือเซ็นทรัล
2) สมัครบริการ หรือ ซื้อสินค้าที่ร่วมรายการในงาน หรือ ทรูช็อป ดีแทคช็อป ลุ้นรับ Oppo A78 5G ฟรี จำนวน 40เครื่อง มูลค่าเครื่องละ 8,499 บาท เมื่อสมัครบริการ หรือ ซื้อสินค้าที่ร่วมรายการในงาน หรือ ลุ้นรับ Travel SIM Asia 60 ชิ้น / Go Inter Asia SIM 60 ชิ้น และ Game Coin 50 ชิ้น มูลค่าของรางวัลรวมกันกว่า 500,000 บาท

Wonderful Together มีทแอนด์กรี๊ด “นาย-ใบเฟิร์น”
พบกับพรีเซ็นเตอร์ คู่ใหม่ของครอบครัวทรู มาโชว์ตัวบนเวที ร่วมเล่าความรู้สึกและเบื้องหลังแนวคิดชีวิต ดีกว่า เมื่อมีกันและกัน หรือ Better Together จากวิดีโอโฆษณาออนไลน์ซีรีส์ 5EP ให้แฟนคลับคนเจียง ใหม่ ได้ฟินจิกหมอน นอนหลับฝันดีกันอย่างใกล้ชิด
#TrueXdtacBetterTogether #TruedtacXNineBaifern #BetterTogether
#ชีวิตดีกว่าเมื่อมีกันและกัน #true #dtac

SYM Clinic จัดกิจกรรมแนะนำความงามแบบฉบับเกาหลี

SYM Clinic จัดกิจกรรมแนะนำความงามแบบฉบับเกาหลี

พญ.อัญธิกา ทิพพารักษ์ ผู้บริหาร Sym Clinic จัดกิจกรรมให้คำปรึกษาความงาม ครั้งแรกของเชียงใหม่ที่ได้รับเกียรติจาก “หมอลีวอน” แพทย์เจ้าของ โรงพยาบาล 21 Plastic Surgery บินตรงมาให้คำปรึกษา แนะนำ ความงามตามแบบฉบับเกาหลี ในแบบ Exclusive สุดๆ วันที่ 27 และ 28 พฤษภาคม 2566 ณ โรงแรมบุรีศรีปิงริเวอร์ไซค์เชียงใหม่

งานปรึกษาศัลยกรรมเกาหลี แบบExclusive ครั้งแรกในภาคเหนือพิเศษ พร้อมบริการดูแลก่อน และหลังทำศัลยกรรมเกาหลี พักฟื้นที่ไทย กับคอร์สลดบวม ภายใต้การดูแลของแพทย์ ที่Sym clinicประหยัดเวลา และค่าใช้จ่าย ดูแลความสวยจนถึงกลับประเทศไทย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 065-9416924Page FB Sym Clinic IG Sym.koreasurgery

สมาคมสมองกลฝังตัวไทย จัดงานสัมนา เพื่อหาความร่วมมือแก้ปัญาฝุ่นควันอย่างถาวร ยกให้จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองนำร่อง

วันที่ 19 เมษายน 2566 – จ.เชียงใหม่ : สมาคมสมองกลฝังตัวไทย (TESA : Thai Embedded System Association) จัดงานสัมมนา “เชียงใหม่ กับ PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจองค์รวม การออกมาตรการ ควบคุม ป้องกัน ปัจจัยที่ผู้ว่าฯ สามารถควบคุมได้ และ ปัจจัยที่ไม่สามารถ
ควบคุมได้” เพื่อหาความร่วมมืออย่างยั่งยืนในการแก้ปัญหาฝุ่นควัน ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ, การท่องเที่ยว และสุขภาพของประชาชน ของชาวเชียงใหม่เป็นอย่างหนัก โดยในงานนี้ได้เชิญผู้เกี่ยวข้อง และองค์กรที่จะร่วมแก้ปัญหา ณ ห้องหลักเมือง โรงแรมคุ้มภูคำ

ปัญหาฝุ่นควันเรื้อรังมานาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนปัจจุบันกว่า 16 ปี ที่ชาวเชียงใหม่ต้องใช้ชีวิตกับอากาศเป็นพิษ หายใจติดขัด และส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสุขภาพของประชาชนที่รุนแรง โดยการจัดงานสัมนาในครั้งนี้จะเป็นการบรรยายหัวข้อ เชียงใหม่ เมือง Smart แก้ปัญหามลพิษ จังหวัดนำร่อง” แนวทางของ Smart City สำหรับเมืองเชียงใหม่ที่ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหามลพิษ รวมถึงการสร้าง Ecosystem ที่ยั่งยืน สำหรับเมืองแห่งอนาคต ตามนโยบาย ESG โดย ดร.วัชระ ฉัตรวิริยะ นายกสมาคมสมองกลฝังตัวไทย

 

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.วัชระ ฉัตรวิริยะ นายกสมาคมสมองกลฝังตัวไทย (TESA : Thai Embedded System Association) ร่วมเปิดงานอย่างเป็นทางการ

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจ้งปัญหาให้ทุกภาคส่วน ที่มีศักยภาพเสนอแนวทางการแก้ปัญหาทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ บูรณาการร่วมกัน ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกแง่มุมทั้งด้านเศรษฐกิจสุขภาพ อนามัย และสุขภาพจิต ยังผลไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและรายรับของประเทศ และเพื่อขอความร่วมมือทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคเอกชนที่มีศักยภาพ และนำแนวทางจากหน่วยงานในต่างประเทศที่มีการนำกระบวนการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรมด้วยแนวคิด ESG (Environment, Social และ Governance) ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น หอการค้าจีน หรือ ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น และเพื่อขอความร่วมมือ ภาคครัวเรือน ภาคประชาชน ให้ตระหนักถึงภาวะสิ่งแวดล้อม และแนะนำการใช้งาน Mobile Application ทั้ง Android และ iOS ชื่อว่า “Windy” เพื่อตรวจสอบสภาพอากาศด้วยตนเอง