เยี่ยมผู้เสียสละเข้าดับไฟป่าจนได้รับบาดเจ็บกล้าหาญน่าชื่นชมยิ่ง

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 28 มี.ค.นี้ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายไพรินทร์ ลิ่มเจริญ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณจังหวัดเชียงใหม่ และนายสุเจตน์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สบอ.16 (เชียงใหม่) เป็นตัวแทนจาก นายธัญญา เนติธรรมกุลอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นายสมหวัง เรืองนิวัติศัยผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่เข้าเยี่ยมนำเงินในเบื้องต้น10,000บาทพร้อมกระเช้ามามอบเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นายสมยศ ภูมิมาลา อายุ 47 ปี ตำแหน่งพนักงานราชการ(เจ้าหน้าที่ตรวจป่า)ประจำหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม 14 (แม่ขาน) อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ซึ่งได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่ดับไฟป่าในเขตพื้นที่อำเภอสะเมิง เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา โดยชายโครงหัก 2 ซี่ และแผลที่มือทั้งสองข้างซึ่งเกิดจากไฟไหม้และผลัดตกจากเนินเขาทำให้ลำตัวกระแทกหินได้รับบาดเจ็บขณะปฎิบัติหน้าที่ดับไฟป่า ซึ่ง แพทย์รักษาอาการจะดีขึ้นตามลำดับ ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่


นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวชื่นชมการทำหน้าที่ของนายสมยศ ภูมิมาลา ที่เข้าปฎิบัติหน้าที่ดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้ เป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเข้าไปดับไฟป่าจนตัวเองได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้

“Maehia Model โครงการนำร่องผู้สูงอายุทางอากาศ”เทศบาลเมืองแม่เหียะสุดยอด

วันที่ 28 มี.ค.62 ณ ห้องประชุม 80 พรรษารวมใจ เทศบาลเมืองแม่เหียะ มีพิธีมอบประกาศนียบัตร นักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองแม่เหียะ ที่สำเร็จการศึกษา ในหลักสูตร โรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศ “Maehia Model โครงการนำร่องผู้สูงอายุทางอากาศ” โดยความร่วมมือระหว่าง เทศบาลเมืองแม่เหียะ กรมกิจการผู้สูงอายุ และ สถานีวิทยุ มก. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังจากมีการเรียนการสอน ผ่านสถานีวิทยุ ม.ก. AM 612 kHz. เมื่อจบหลักสูตรมีการสอบวัดผล และมอบประกาศนียบัตรให้กับนักเรียนผู้จบหลักสูตร โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุสันต์ เทียนทอง รองประธานกรรมการมูลนิธิบ้านบางแค อดีตอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นประธานในการปิดโครงการ ซึ่งนับว่าเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีการเรียนการสอนผ่านสื่อวิทยุของโรงเรียนผู้สูงอายุ รวมถึงมีการวัดผลการเรียนของนักเรียนผู้สูงอายุ อีกด้วย

นายธนวัฒน์ ยอดใจ นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ กล่าวว่า หลังจากที่มีการเรียนการสอน ผ่านวิทยุ ของโรงเรียนผู้สูงอายุ จำนวน 25 หลักสูตร ให้กลุ่มผู้สูงอายุที่ร่วมโครงการ 100 คน ได้รับฟังและประเมินผลความเข้าใจ ผ่านแบบประเมินจากทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีการสอบวัดผลการเรียนการสอน อย่างเป็นระบบ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ โดยใช้เวลาเรียนทั้งสิ้น 9 สัปดาห์ เริ่มออกอากาศวันที่ 10 ม.ค. 62 และมีการสอบวัดผลนักเรียนผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 62 ปรากฏว่ามีนักเรียนผู้สูงอายุสามารถผ่านโครงการทั้งสิ้น 96 คน จึงได้มีการมอบใบประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้กับนักเรียนผู้สูงอายุที่จบหลักสูตร จำนวน 96 ท่าน และนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุดจำนวน 4 ท่าน เพื่อเป็นการส่งเสริมคุณค่าของผู้สูงอายุ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย กาย อารมณ์ จิต สังคม อีกทั้งยังส่งเสริมคุณค่าภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ อันเป็นอัตลักษณ์ให้คงอยู่คู่ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อย่างยั่งยืน

สำหรับแม่เหียะโมเดล โครงการนำ ร่อง โรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศ เทศบาลเมืองแม่เหียะ นี้ถือเป็นอีกพันธกิจหนึ่งที่จะร่วมกันสืบสานพระราชปณิธาน และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เทศบาลเมืองแม่เหียะ และสถานีวิทยุ ม.ก.ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนพันธกิจที่เป็นการให้บริการสาธารณะ เพื่อส่งเสริมความพร้อมของท้องถิ่นรองรับกับสังคมผู้สูงอายุเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ในการส่งเสริม และสืบสานศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาของท้องถิ่น ให้คงอยู่คู่สังคมไทยด้วย

โดยหลักสูตรการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ของแม่เหียะโมเดล โครงการนำร่อง โรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศ เทศบาลเมืองแม่เหียะ นี้เป็นหนึ่งในความร่วมมือ ภายใต้การขับเคลื่อน พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้นำร่องโครงการ เพื่อรองรับกับสังคมผู้สูงวัย ทั้งนี้ถือเป็นโครงการแรก ของประเทศ โดยเป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการกำหนดหลักสูตรและขยายผลสู่ภูมิภาคอื่น ต่อไป

เชียงใหม่เพื่อไทยยังผงาด แต่อนาคตใหม่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ของพลังหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่

สิ้นสุดกันไปแล้ว การเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ เพื่อนำประเทศชาติไปสู่ประชาธิปไตยให้เต็มรูปแบบ โดยเสียงประชาชนเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่จะตัดสินชะตากรรมของประเทศชาติว่าจะไปอยู่ยังจุดไหน แต่สิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ทีเพิ่่งเคยเห็นในการเลือกตั้งครั้งนี้ที่ดูเหมือนว่าพรรคใหญ่ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และน้องใหม่ไฟแรงขอคนหนุ่มสาว พรรคอนาคตใหม่ รวมถึงพรรคเสรีรวมไทย ที่ก่อนการเลือกตั้งมีแต่คนคาดคิดว่าสองพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ จะแย่งชิงเก้าอื้อย่างถึงพริกถึงขิง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอย่างบันทึกเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย ที่พลังวัยหนุ่มสาวจะมีพลังมากมายมหาศาล แต่แต่ลละเขตทั่วประเทศจะต้องจารึกชื่อของพรรคอนาคตใหม่ ที่ชูประเด็นต่างๆได้เข้าถึงหัวอกหัวใจวัยหนุ่มสาวทั้งนักศึกษาและวัยทำงาน ที่ออกใช้สิทธิ์และเลือกพรรคอนาคตใหม่ จนแทบจะเบียดทุกเขตในหลายจังหวัด ได้ แต่ขาดเพียงประสบการณ์ในการต่อสู่ของคู่ต่อสู้ที่มากประสบการณ์และเก๋าเกมส์ อย่างพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่ได้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ว่ามหาศาลเพียงไหน และจะเป็นบทเรียนใหม่ว่าเขตไหนทิ้งห่างประชาชน เขตไหนยังตรึงใจประชาชน

สำหรับผลการเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ทั้ง 9 เขตของเชียงใหม่ ทางพรรคเพื่อไทย ยังเอาตัวรอดสามารถพากันยกเขตเข้ามาทั้ง 9 เขตโดยเมื่อเวลา09.30 น.วันที่ 25 มี.ค.นี้ นายเกรียงไกร พานดอกไม้ ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ได้รายงานผลล่าสุด พรรคเพื่อไทยคะแนนยังนำทุกเขต แต่ยังรอผลคะแนน เขต 1 ,เขต 5,เขต 6 ที่ยังไม่ครบ

 


พื้นที่ เขต 1. น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย เขต 1 เบอร์ 6 คะแนน 42,303 คะแนนตามด้วยหมายเลข 9 นางสาวศุภรี ฉัตรกันยารัตน์ หมายเลข 9 พรรคอนาคตใหม่ คะแนน41,435

เขต 2 นายนพคุณ รัฐผไท อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เบอร์ 6 คะแนน 48,498 คะแนน ตามด้วยนางสาวพรรคอนาคตใหม่ ณัชชา โปทายี่ เบอร์ 2 คะแนน 31,602 คะแนน


ที่เขต 3 นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม พรรคเพื่อไทย เบอร์ 13 คะแนน 63,404 คะแนน พันเอกศรัณย์ แสนพรหม พรรคอนาคตใหม่คะแนน 28,374 คะแนน

เขต4 นายวิทยา ทรงคำ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เบอร์ 4 คะแนน 37,454 คะแนน ตามด้วย นายชลิต ชนินทร์อารักษ์ พรรคอนาคตใหม่ คะแนน 35,576 คะแนน


เขต5 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีต สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย หมายเลข 14 คะแนน 40,061 คะแนน ตามด้วย น.ส.เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ พรรคพลังประชารัฐ 28,014 คะแนนเบอร์ 17

เขต 6 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ พรรคเพื่อไทยเบอร์ 1 คะแนน 23,535 คะแนน นายธีรพันธ์ สุริวรรณ พรรคอนาคตใหม่ เบอร์10 คะแนน17,342 คะแนน

 


เขต 7 ประสิทธิ์ วุฒินันชัย พรรคเพื่อไทย เบอร์12 คะแนน27,477 คะแนน นายนราสิญจน์ ปัญญาศิลปวิทยา หมายเลข 16 คะแนน 19,729 คะแนน

เขต 8 นายสุรพล เกียรติไชยากร พรรคเพื่อไทย เบอร์ 8 คะแนน 49,200 คะแนนนายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ พรรคพลังประชารัฐ เบอร์4 คะแนน 37,854 คะแนน

เขต 9 นายศรีเรศ โกฎคำลือพรรคเพื่อไทย เบอร์9 คะแนน 39,234 คะแนน ตามด้วยนายนรพล ตันติมนตรี พรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 10 คะแนน 32,201 คะแนน

สรุปคะแนนเพื่อไทยนำทุกเขต คะแนนมาประมาณ 81.91 เปอร์เซ็นอย่างไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม เขตที่ ส.ส.เพื่อไทย คะแนนนำโด่ง เขต 8 นายสุรพล เกียรติไชยากร ส.ส. 8 สมัยของเชียงใหม่ ที่ทราบผลแน่ชัดแล้ว ชาวบ้านก็พากันมาแสดงความยินดี กับผู้ชนะการเลือกตั้ง และทาง ผู้สมัคร ส.ส.พรรคต่างๆทั้งสมหวังและผิดหวังก็ทยอยกันออกมขอบคุณชาวบ้านที่ให้การสนับสนุน ทั้งออกตระเวณนั่งรถขอบคุฯและส่งทางโชเชียลไลน์ เฟสบุ๊คกัน

โรงเก็บสารลำไยระเบิด บ้านพัง 8 หลังเจ็บ 2 ที่จอมทอง

เมื่อเวลา 14.35 น. วันที่ 20 มีนาคม 2562 ร.ต.อ.สง่า ยานะโส รอง สว.สอบสวน สภ.จอมทอง จ.เชียงใหม่รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บ้านเลขที่ 296 หมู่ 5 บ้านโรงวัว ต.แม่สอย อ.จอมทอง มีบ้านเรือนเสียหายและผู้บาดเจ็บจำนวน 2 ราย จึงรายงานให้ พ.ต.อ.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมประสานงานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบว่าบ้านที่เกิดเหตุ เป็นบ้านชั้นเดียวสร้างด้วยปูน โดยได้ถูกแรงระเบิดอัดจนทำให้บ้านเสียหายทั้งหลัง และมีบ้านที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายอีก 9 หลัง นอกจากนี้จากการตรวจสอบแล้วพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 คน ทราบชื่อคือ นางสอน จีนาคำ อายุ 68 ปี บาดเจ็บเล็กน้อย และ นางสาวพิชญา บังคมเนตร อายุ 15 ปี บาดเจ็บเล็กน้อย ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เร่งให้การช่วยเหลือนำส่งรักษาต่อยังโรงพยาบาลจอมทอง


พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้เผยว่าจากการสอบถามทราบว่านายวิทยา ต้อติดวงค์ อายุ 32 ปี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าวมีอาชีพทำสวนลำไย และได้มีการซื้อสารลำไยโซเดียมคลอเรทมาเก็บไว้จำนวน 10 ถุงเพื่อใส่สารลำไยโดยเก็บไว้ในโรงเก็บอย่างดี ถึงที่ผ่านมาก็ไม่เกิดเหตุการณ์อะไร แต่อากาศอาจจะร้อนจัด จนกระทั่งในช่วงบ่าย ได้เกิดระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวว่าบ้านหลังดังกล่าวและบ้านเรือนที่อยู่ติดกันได้ถูกแรงอัดของระเบิดพังเสียหายหลายหลังเจ้าหน้าที่เข้ามาให้การช่วยเหลือชาวบ้านและให้สำรวจความเสียหายและสาเหตุที่เกิดขึ้น


พล.ต.ต.พิเชษฐ ได้สรุปรายงานเหตุการณ์และความเสียหายจากสภ.จอมทอง ขอรายงานเหตุ สารเร่งดอกลำไยระเบิด มีผู้ได้รับบาดเจ็บมีพฤติการดังนี้ เมื่อวันที่ 20 มีนาคมนี้ เวลาประมาณ 14.20น. ร.ต.อ.สง่า ยานะโส รอง สว.(สอบสวน)สภ.จอมทอง ได้รับแจ้งเหตุสารสำหรับเร่งดอกลำไยระเบิด ทรัพย์สินเสียหาย มีผู้บาดเจ็บ เหตุเกิดโกดังหลังบ้านเลขที่ 296หมู่ที่ 5 ต.แม่สอย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาเบื้องต้นทราบ หลังจากนั้น พ.ต.อ.ดำเนิน กันอ่อง ผกก.สภ.จอมทอง พร้อมกับพวก จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ. จากการตรวจที่เกิดเหตุพบบ้านที่เกิดเหตุพังเสียหาย มี นายวิทยา ต้อติดวงค์ อายุ 32 ปี ที่อยู่ 32หมู่ที่ 5 ต.แม่สอย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ แสดงตนเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ จึงได้สอบปากคำ นายวิทยาฯ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้นำเคมีภัณท์ จำนวน 3รายการ คือ 1.สารโซเดียมครอเรท น้ำหนัก 25 กก.จำนวน 8 กระสอบ 2 .ไทโอยูเรีย น้ำหนัก 25 กก.จำนวน 2 กระสอบ และ ยาฆ่าหญ้าไกรโฟรเสท จำนวน2 กล่องๆ 5 แกลลอน ไว้รวมกันในโกดังหลังบ้านที่เกิดเหตุ ตามวันเวลาเกิดเหตุอากาศร้อนแดดจร้า จึงเกิดระเบิดขึ้น จึงตรวจที่เกิดเหตุพบความเสียหาย คือ 1. โกดังที่เกิดเหตุ เสียหายประมาณ200,000 บาท บ้านอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ เสียหาย ( จากการตรวจสอบเบื้องต้นได้ จำนวน8 หลังคาเรือน ) ความเสียหายอยู่ระหว่างประเมิน มีผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ จำนวน3 คน รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจอมทอง ทราบชื่อ 1.น.ส.นันท์ริยา ปังเนตร อายุ 15 ปี 2.นางกลม ไม่ทราบนามสกุล อายุ 27 ปี สัญชาติไทย ส่วนอีก 1 คน ไม่ทราบชื่อและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ประสงค์ที่จะมารักษาตัวที่โรงพยาบาลจอมทอง จึงได้ตรวจที่เกิดเหตุและจะได้ประสานวิทยาการมาตรวจเพื่อหาสาเหตุโดยละเอียดต่อไป

ต่อมานายสมพล แสนคำ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยนางปฤษณา บรรพโต เกษตรอำเภอจอมทอง ได้รับรายงานสารโพแทสเซียมคลอเรตระเบิดที่อำเภอจอมทอง และได้เข้าติดตามสถานการณ์พบว่า ที่เกิดเหตุเป็นอาคารเก็บของ ของบ้านเลขที่ 296 หมู่ 5 บ้านโรงวัว ต.แม่สอย อ.จอมทองตัวอาคารได้รับความเสียหายไฟไหม้ทั้งหลัง ซึ่งเก็บสารโพแทสเซียมคลอเรต จำนวน 10กระสอบๆละ 25 กก. และได้ผสมเพื่อเตรียมไว้สำหรับพ่นและราดที่สวนลำไยของตนเอง คาดว่าอาจเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนทำให้เกิดปฏิกิริยาแล้วเกิดการระเบิดขึ้น สร้างความเสียหายต่อตัวอาคาร และบ้านเรือนรอบพื้นที่ จำนวน 9 หลังคาเรือน

(ขอบคุณภาพจากตำรวจและกู้ภัย และเกษตรจังหวัดเชียงใหม่)

ชาวเชียงใหม่รวมใจไล่หมอกควัน เชิญชวนประชาชนออกมาร่วมใช้น้ำไล่ทั่วเมือง

จังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดกิจกรรม “ชาวเชียงใหม่ ร่วมใจ ไล่หมอกควัน” เชิญชวนประชาชนร่วมสร้างความชุ่มชื้นในอากาศพร้อมกันทั้งจังหวัด


นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในวันที่18 มี.ค.62เวลา 10.30 น. จังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดกิจกรรม
“ชาวเชียงใหม่ ร่วมใจ ไล่หมอกควัน” พร้อมกันทั่วทั้งจังหวัด โดยอำเภอเมืองเชียงใหม่ จัดที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ และรอบคูเมืองเชียงใหม่ มีการปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ำ ฉีดพ่นล้างทำความสะอาดถนน และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยมีส่วนราชการภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรม ขณะที่ทุกอำเภอจะจัดกิจกรรมเช่นเดียวกันทั่วทั้งจังหวัด
ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนชาวเชียงใหม่ ร่วมกันฉีดพ่นน้ำ รดน้ำต้นไม้ ล้างถนนบริเวณหน้าบ้านของตนเอง เพื่อสร้างความชุ่มชื้นใน
อากาศ สร้างความสดใสให้กับจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการมีส่วนร่วมของชาวเชียงใหม่ทุกคน

“เชียงใหม่ประชาสัมพันธ์ปลูกพืชใช้น้ำน้อยลดความเสี่ยงช่วงแล้ง”

วันที่ 11มีนาคม 2562 เวลา 13.00 น. นายสมพล แสนคำ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่พร้อมด้วยนางวรินทร มั่งมูลอู เกษตรอำเภอหางดง ประชาสัมพันธ์การเฝ้าระวังการปลูกพืชฤดูแล้ง เพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน รวมถึงไม่ให้กระทบต่อน้ำที่ต้องใช้อุปโภค บริโภค ระบบนิเวศต่างๆ โดยกำชับทางสำนักงานเกษตรอำเภอให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการดูแลพืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น


นายสมพล แสนคำเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรฯโดยคณะอำนวยการแก้ไขปัญหาทางการเกษตรระดับจังหวัดและอำเภอ(COO&OT )ร่วมวางแผนการเพาะปลูก ติดตามสถาณการณ์น้ำ อีกทั้งแนะนำเกษตรกรปลูกพืชอื่นๆที่ใช้น้ำน้อยในช่วงฤดูแล้ง “โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรังปี2562 “พืชที่แนะนำตามความต้องการตลาด อาทิ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง คะน้า ผักกาดฮ่องเต้ กุยช่ายเป็นต้น ซึ่งมีเกษตรกรร่วมโครงการกว่า 5,100 ไร่ ใน 17 อำเภอ

ส่วนพื้นที่ข้าวนาปรังจ.เชียงใหม่คาดการณ์ว่าจะมีพื้นที่ปลูก 127,940 ไร่ในเขตชลประทาน 95,096ไร่ นอกเขตชลประทาน 32,844 ไร่ ซึ่งพื้นที่ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ0.2% เป็นผลจากเกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนปลูกพืชอื่นเช่น นายพร อินยา เกษตรกรหมู่6บ้านแสนตอ ต.น้ำแพร่ ต.หางดง หันมาปลูกมะเขือเทศโรงงานจำนวน 3ไร่ ใช้เวลาปลูก 2 เดือนครึ่งทำรายได้กว่า 75,000 บาท มากกว่าการปลูกข้าวนาปรัง 3 เท่าตัว และยังสามารถปลูกพริก ต่อจากมะเขือเทศทำให้เกษตรรายได้หมุนเวียนตลอดช่วงฤดูแล้งนี้อีกด้วย

งานมหกรรมท่องเที่ยวอเมซิ่งเบตง 2019 จากใต้สู่เหนือ จัดโชว์ห้างดังกลางเมืองเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 8-11 มี.ค. 2562 ที่ลานโปรโมชั่น 2 ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล จ.เชียงใหม่ นายวรเชษฐ พรมโอภาษ รองผู้ว่าราการจังหวัดยะลา เป็นประธานเปิดงาน”มหกรรมท่องเที่ยว อเมซิ่งเบตง 2019″ และกล่าวว่า การจัดงานดังกล่าวเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว จ.ยะลา และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ โดยทาง จ.ยะลาได้คัดสรรค์ผู้ประกอบการสินค้า OTOP ระดับพรีเมียมจำนวน 40 ร้ายเปิดให้สัมผัส ชิม ชม ช้อป กับอาหารและสินค้าชื่อดัง

“มหกรรมท่องเที่ยว อเมซิ่งเบตง 2019″ เป็นการนำสินค้าจาก จ.ยะลา นำเสนอและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องชาวเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้รู้จักเสน่ห์ของ จ.ยะลา เพราะ จ.ยะลามีบ่อน้ำร้อนเบตง สวนไม้ดอกเมืองหนาว อุโมงค์ปิยะมิตร ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ทะเลสาบและป่าฮาลา บาลาและอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่ มีอาหารท้องถิ่นที่อร่อยและขึ้นชื่อลือชาไม่ว่าจะเป็นแกงปักษ์ใต้ ไก่เบตง ชาชัก เป็นที่ถูกปากและถูกใจนักท่องเที่ยว และเป็นการประชาสัมพันธ์ อ.เบตง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองเบตง จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวในดวงใจของชาวเชียงใหม่เพื่อจะได้เดินทางไปพักผ่อนท่องเที่ยวในเบตงกันมากขึ้น”

ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ ชาวเชียงใหม่ได้มีโอกาสเห็นวิธีการชงชาชัก และรสชาดที่หอมอร่อยลิ้นของชาชัก และไก่เบตง ที่นำมาบริการให้ชิมกลางเมืองเชียงใหม่ จะสร้างความครื้นเครงและสนุกสนานและมอบความสุขให้กับพี่น้องชาวเหนือและนักท่องเที่ยวทุกท่านได้อีกทางหนึ่ง”

สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3จัดกิจกรรม ปรามสื่อร้าย ขยายสื่อดี

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 7 มี.ค.นี้ ห้องส่งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงใหม่ สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 จัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้าน Fake News และประกาศเจตนารมณ์ ปรามสื่อร้าย ขยายสื่อดี นำโดย นางสาวศศิวิมล พงษ์ปรีชา ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 พร้อมด้วย นางสาวจันทนา อ้นคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวธนวรรณ ชุมแสง ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งข้าราชการ องค์กร สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา และประชาชนชาวเชียงใหม่ เข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ได้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ


ปัจจุบันการพัฒนาของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนจำนวนมากสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านเครื่องมือและเทคโนโลยีการสื่อสารได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารจากโซเชียลมีเดียหรือสื่อสังคมออนไลน์ ได้กลายเป็นแหล่งที่ผู้คนเข้าไปติดตามข่าวสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล แสดงความคิดเห็น ความรู้สึกต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งหลายกรณีเป็นภัยอย่างมหันต์

 

กรมประชาสัมพันธ์จึงได้จัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้าน Fake News และประกาศเจตนาตรมณ์ปรามสื่อร้าย ขยายสื่อดี ภายใต้โครงการสร้างภาคีเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านข่าวลวง Fake News เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายรณรงค์ร่วมกันต่อต้านข่าวลวง และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้ตระหนักถึงภัยของข่าวลวง และร่วมกันต่อต้าน//

บางกอกแอร์เวย์สเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่ – กระบี่ และ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว)

ษริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดงานแถลงข่าวเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่ – กระบี่ และ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว) โดยมีนายวรงค์ อิศรเสนา ณ อยุธยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการขายของสายการบินฯ และนางสาวภัคนันท์ วินิจชัย ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่เป็นผู้แถลงข่าวและนางจันทร์ทิพย์ ทองกันยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ให้เกียรติร่วมในงาน ณ ห้องอาหาร Time Riverfront Cuisine & Barโรงแรม ณ นิรันดร์ จังหวัดเชียงใหม่

นายวรงค์ อิศรเสนา ณ อยุธยา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการขาย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวว่า “การเปิดเส้นทางบินเชียงใหม่ – กระบี่ และ เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว) ของสายการบินฯ ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายเครือข่ายเส้นทางบินของบางกอกแอร์เวย์สให้ครอบคลุมประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) โดยใช้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการบินทางภาคเหนือ เนื่องจากเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับต้นของประเทศไทยและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากเส้นทางบินภายในประเทศและเส้นทางบินจากต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี การเปิดเส้นทางบินตรงจากเชียงใหม่ไปยังเมืองต่างๆ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารโดยไม่ต้องเดินทางกลับไปต่อเครื่องที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันบางกอกแอร์เวย์ส มีเส้นทางบินจากจังหวัดเชียงใหม่ ไปยังเมืองต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุย ภูเก็ต เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ย่างกุ้ง (เมียนมาร์) มัณฑะเลย์ (เมียนมาร์) และฮานอย (เวียดนาม) และจะเปิดบินอีก 2 เมือง ในปลายเดือนมีนาคม 2562 นี้ คือกระบี่และหลวงพระบาง (สปป.ลาว) ซึ่งทั้ง 2 เมืองเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก”

“การเชื่อมต่อเส้นทางเชียงใหม่ – กระบี่ นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงผู้ที่มีถิ่นพำนักอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังภาคเหนือให้สามารถเดินทางต่อโดยเครื่องบินไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในภาคใต้ โดยไม่ต้องไปต่อเครื่องที่กรุงเทพ แล้วยังทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความสวยงามทางธรรมชาติวัฒนธรรมของภาคเหนือและทะเลทางภาคใต้ เป็นการส่งเสริมนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในเรื่องของการเที่ยวข้ามภาค สำหรับเส้นทางเชียงใหม่- หลวงพระบาง (สปป.ลาว) จะทำให้บางกอกแอร์เวย์สมีเส้นทางบินครอบคลุมในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติมคือ สปป.ลาว โดยเราเล็งเห็นว่าเมืองหลวงพระบาง เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบด้านวัฒนธรรม ต้องการความเงียบสงบ วิถีชีวิตเรียบง่ายเลือกเดินทางมาพักผ่อน ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เมืองหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม เราเชื่อว่าเส้นทางบินนี้จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก”

นางสาวภัคนันท์ วินิจชัย ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า “ในปี 2561 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 10,844,753 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 30.1 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังภาคเหนือซึ่งเป็นชาวต่างชาติ 3,252,594 คน นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีจำนวนมากเป็นอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือ อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ และฝรั่งเศส ตามลำดับ โดยในปี 2562 ทาง ททท.คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 5 และรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าแนวโน้มของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนน่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และจากยุโรป เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในปีนี้”

“นับว่าเป็นโอกาสทีดีที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เปิดเส้นทางบิน เชียงใหม่-กระบี่ และชียงใหม่-หลวงพระบาง (สปป.ลาว) เพราะนอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวในตลาดซึ่งมีอยู่เดิมแล้ว ให้เดินทางไปท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยและเมืองใกล้เคียงกับเมืองหลวงพระบาง (สปป.ลาว) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ การผลักดันเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเดินทางต่อไปยังเมืองหลักและเมืองรองอื่นๆ ในประเทศไทยได้นั้นจะก่อให้เกิดการรายได้ทางการท่องเที่ยวหมุนเวียนภายในประเทศมหาศาล” นางสาวภัคนันท์ กล่าว

เส้นทางบิน เชียงใหม่ – กระบี่ (เที่ยวเดียว) จะเริ่มให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อาทิตย์ อังคาร และพฤหัสบดี) ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2562 และจะปรับเป็นให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส เอ319 ขนาด 144 ที่นั่ง โดยเที่ยวบิน PG 246 ออกจากเชียงใหม่ เวลา 12.00 น. ถึงกระบี่ เวลา 13.55 น.

เส้นทางบินระหว่าง เชียงใหม่ – หลวงพระบาง (สปป.ลาว) (ไป-กลับ) จะให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี และเสาร์) ด้วยเครื่องบินแบบเอทีอาร์ 72-600 ขนาด 70 ที่นั่ง โดยเที่ยวบินขาไป PG983 ออกจากเชียงใหม่ เวลา16.30 น. ถึงหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เวลา 17.45 น. เที่ยวบินขากลับ PG984 ออกจากหลวงพระบาง (สปป.ลาว) เวลา 18.30 น. ถึงเชียงใหม่ เวลา 19.45 น. โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2562 เป็นต้นไป

ผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่www.bangkokair.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการลูกค้า (Call Center) โทร. 1771 ตลอด 24ชั่วโมง ค่าบริการครั้งละ 3 บาททั่วไทย (เฉพาะโทรศัพท์พื้นฐาน) หรือสำนักงานออกบัตรโดยสารทั่วประเทศ และตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร ผู้โดยสารทุกท่านของบางกอกแอร์เวย์ส สามารถเข้าใช้บริการห้องรับรองผู้โดยสารที่ให้บริการอาหารว่าง เครื่องดื่มและอินเทอร์เน็ต ณ สนามบินที่เปิดให้บริการ และสามารถทำการเช็คอินออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงล่วงหน้าก่อนการเดินทางได้ที่ www.bangkokair.com/pages/view/online-check-in

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ สำรวจแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งที่ 3 ของจังหวัด บ่อน้ำสมัยพุทธกาล ที่นำไปประกอบพิธีสำคัญและพิธีหลวงหลายครั้ง

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 26 ก.พ.นี้ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายชัชวาลย์ พุทธโธ นายอำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่สำรวจบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ขุนน้ำแม่ปิง อำเภอเชียงดาว ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมการจัดทำน้ำอภิเษกของจังหวัดในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อให้การจัดพิธีทำน้ำอภิเษกของจังหวัดเชียงใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติฯ

จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ซึ่งเล่าสืบทอดต่อกันมาว่า บริเวณพื้นที่เทือกเขาขุนน้ำแม่ปิง พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เมื่อมนุษย์ทราบก็พากันไปกราบไหว้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไปรวมกันเข้าเฝ้ากราบไหว้พระองค์ด้วย ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีพญาช้างเผือก งาแดง เชือกหนึ่ง เกิดศรัทธานำผลไม้เรียกว่า ผลนะ หรือ ลูกสมอ ไปถวายพระพุทธเจ้า ต้นสมอที่พญาช้างเผือกเก็บไปถวายอยู่ที่บริเวณขุนน้ำปิงแห่งนี้ ซึ่งเกิดรอยเท้าช้าง 2 รอย ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำที่ไหลผ่านและอยู่ในรอยเท้าพญาช้างเผือก เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ สำหรับขนาดบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ส่วนที่เป็นรอยเท้าทั้ง 2 บ่อ บ่อที่ 1 กว้างประมาณ 63 เซนติเมตร ลึก 52 เซนติเมตร บ่อที่ 2 กว้างประมาณ 64 เซนติเมตร ลึก 61 เซนติเมตร ขุนน้ำแม่ปิงแห่งนี้ถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประชากรตำบลเมืองนะ เนื่องจากประชาชนได้นำไปใช้อุปโภคบริโภค ทำเกษตรกรรม กสิกรรมในพื้นที่ตลอดทั้งปี

แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ขุนน้ำแม่ปิง ได้ถูกนำไปประกอบพิธีสำคัญเกี่ยวกับพิธีหลวงหลายครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งล่าสุด ได้นำไปประกอบพิธีเสกน้ำพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554