แอร์เอเชีย เปิดเส้นทางบินใหม่เชียงใหม่ ไปดอนเมืองและไปสุวรรณภูมิ เริ่มให้บริการเที่ยวบินแรก 25 ก.ย.63

แอร์เอเชีย เปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงใหม่ ไปดอนเมืองและไปสุวรรณภูมิ เริ่มให้บริการเที่ยวบินแรก 25 ก.ย.63

ที่ร้าน fernpresso cafe สาขา At Lake (ในศูนย์เกษตร แม่เหียะ) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายสุรพันธ์ หอมขจร ผู้จัดการสายการบินไทยแอร์เอเชีย ประจำท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนภาคเหนือ พร้อมนายวีระชัย จงพิพิธพร กัปตันสายการบินแอร์เอเชีย และนายณัฐวุฒิ จิตอาจหาญ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และ นางสาวสุทธิลักษณ์ นิยะถิรกุล ฝ่ายการตลาด และ นางสาววีรยา เหลืองวรา ผู้จัดการฝ่ายขายภาคเหนือ สายการบินไทยแอร์เอเชียร่วมแถลงข่าวพร้อมกัน

นายสุรพันธ์ หอมขจร ผู้จัดการสายการบินไทยแอร์เอเชีย ประจำท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ตามที่สายการบินไทยแอร์เอเชียเพิ่มความสะดวกเลือกได้ในการเดินทาง เดินหน้าขยายฐานปฏิบัติการสู่ “สุวรรณภูมิ” เส้นทางบินตรงไปกลับจากสุวรรณภูมิสู่เชียงใหม่ 5 เที่ยวบินต่อวัน แอร์เอเชียยังคงรุกหาโอกาสธุรกิจใหม่ๆ ในสถานการณ์ปัจจุบัน

โดยเฉพาะการขยายเครือข่ายที่ครอบคลุมภายในประเทศ รักษาความเป็นผู้นำตลาด พร้อมอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารทุกคน จึงได้เปิดฐานปฏิบัติการบินในกรุงเทพฯ เพิ่มเเห่งใหม่ที่ “สุวรรณภูมิ” ซึ่งจะทำให้แอร์เอเชียเป็นสายการบินเดียวที่พร้อมให้บริการสะดวกทั้ง 2 ท่าอากาศยานในกรุงเทพฯ ทั้งสุวรรณภูมิ (BKK) เเละดอนเมือง (DMK)

ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศที่มีศักยภาพพร้อม มีระบบขนส่งสาธารณะเข้าสู่เมืองที่สะดวก รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับเที่ยวบินระหว่างประเทศจำนวนมากได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้สายการบินมีผู้ใช้บริการกลุ่มใหม่ๆ เพิ่ม และสามารถบริหารจัดการเครื่องบินให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงเวลานี้ ในขณะที่ผู้โดยสารก็จะมีทางเลือกใหม่ในการเดินทางที่คุ้มค่ากับสายการบินราคาประหยัดอย่างแอร์เอเชีย

นอกจากนี้แอร์เอเชียยังเปิดให้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก 3 เส้นทางใหม่ คือ สุวรรณภูมิ-ภูเก็ต กระบี่ และสุราษฎร์ธานี เพิ่มความความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อเที่ยวบินเอาใจนักท่องเที่ยวพร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้คึกคักอีกครั้ง

ทั้งนี้สำหรับผู้โดยสารที่สนใจเดินทางสามารถตรวจสอบตารางบินเเละสำรองที่นั่งได้แล้ววันนี้ที่ www.airasia.com เพียงเลือกเส้นทาง สุวรรณภูมิ (BKK) และสามารถเริ่มเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2563 อย่างไรก็ตามสำหรับการให้บริการของแอร์เอเชีย ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ยังคงให้บริการในทุกเส้นทางตามปกติเหมือนเดิม สำหรับวันเดินทางตั้งเเต่ 25 ต.ค. 2563 เป็นต้นไป จะเปิดให้สำรองที่นั่งเร็วๆนี้ หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน นายสุรพันธ์ กล่าว

 

ตรวจสอบตารางบินเเละสำรองที่นั่งได้แล้ววันนี้ที่ www.airasia.com กดเลือกเส้นทาง “กรุงเทพฯ-สุวรรณภูมิ BKK” เริ่มเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.2563 นี้ ซึ่งหากจองในช่วงเวลานี้แอร์เอเชียพร้อมมอบโปรโชั่นพิเศษทุกเส้นทางบินสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ราคาเริ่มต้นที่ 440 บาทต่อเที่ยวบิน จองได้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2563 ถึงวันที่ 20 ก.ย. 2563 และสามารถเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2563 ถึงวันที่ 24 ต.ค. 2563 ส่วนฐานปฏิบัติการบินดอนเมือง (DMK) ยังคงเปิดให้บริการครบทุกเส้นทางบินภายในประเทศเหมือนเดิม.

ตำรวจภูธรภาค 5 จัดฝึกอบรมและแข่งขัน SWAT Challengeบุกช่วยเหลือตัวประกันและรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ

ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 5 อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 ได้เดินทางมาเป็นประธานปิดการอบรมการพัฒนาศักยภาพการฝึกอบรมทบทวนและทดสอบหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจ SWAT Challenge ระดับ บก. โดยมีการจัดการแข่งขันขึ้นระดับ บก. ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน

ระหว่างวันที่ 10 ถึง 17 ก.ย. 63 โดยมีทีมหน่วยสวาทจำนวน 8 ทีมมีทีมเชียงใหม่ ทีมเชียงราย ทีมลำปาง ทีมแพร่ ทีมน่าน ทีมลำพูน ทีมแม่ฮ่องสอน และทีมพะเยา เข้าร่วมการฝึกอบอรมและแข่งขัน ตั้งแต่การโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ การซุ่มยิงระยะไกล การเข้าจู่โจมเป้าหมายยาเสพติด และการอารักขาและถวายความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ซึ่งทางตำรวจเข้าอบรมได้ปฎิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ

การแข่งขันในครั้งนี้จัดให้มีการทดสอบทักษะของหน่วย SWAT ระดับ บก. ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เช่น การจำลองสถาณการณ์จับตัวประกัน การบุกค้นอาคาร การถวายความปลอดภัยบุคคลสำคัญ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆด้านงานยุทธวิธี

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะทางยุทธวิธี ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เป็นการสร้างมาตราฐานการฝึก การจัดหน่วย การสร้างเครือข่าย การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยปฏิบัติการ

ซึ่งผลการฝึกอบรมและแข่งขันปรากฏว่ารางวัลชนะเลิศประเภทสถานีเรียกระดมพลและการตรวจความพร้อม ได้แก่ทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษภูธรจังหวัดเชียงราย รางวัลชนะเลิศประเภทการวางแผนได้แก่ทีมจังหวัดเชียงราย รางวัลชนะเลิศประเภทยุทธวิธีการโจมตี ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ รางวัลชนะเลิศประเภทพลซุ่มยิง ได้แก่จังหวัดลำปาง รางวัลประเภทสถานีการเคลื่อนกำลังเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการได้แก่ทีมเชียงใหม่ รางวัลสถานีการปฏิบัติการช่วยหลือตัวประกันได้แก่จังหวัดแม่ฮ่องสอน

รางวัลประเภทผู้บังคับหมวด ได้แก่จังหวัดลำพูน และรางวัลประเภทผู้บังคับหน่วยระดับกองร้อยได้แก่เชียงใหม่ และรางวัลประเภทSWAT Challenge 2020 ได้แก่ทีมเชียงใหม่

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 ได้กล่าวปิดการอบรมในครั้งนี้ว่าขอให้กำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษทุกนาย ขอให้มีความมุ่งมั่นในการกลับไปปฏิบัติหนาที่ยังหน่วยของตนเอง เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยขอเน้นย้ำให้ตั้งอยู่ความไม่ประมาทและคิดไว้เสอมว่าความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งความเสียหายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

ททท.ดึงมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ ดูงานปางช้างแม่สา ต้นแบบเลี้ยงช้างแบบอนุรักษ์ ปลดโซ่ตรวน

ททท.ดึงมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ ดูงานปางช้างแม่สา ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ต้นแบบเลี้ยงช้างแบบอนุรักษ์ ปลดโซ่ตรวน ไร้เครื่องพันธนาการบังคับช้างเลี้ยงตามธรรมชาติให้ช้างมีความสุข หวังสร้าางความเข้าใจภาพลักษณ์ใหม่ให้ธุรกิจปางช้างไทย โดยมี น.ส.รัตนา ศรีหมอก ผู้จัดการปางช้างแม่สา และ นายสัตวแพทย์รณชิต รุ่งศรี นายสัตวแพทย์ประจำปางช้างแม่สา ได้ให้การต้อนรับและนำชมพร้อมอธิบายขั้นตอนการเลี้ยงช้างวิถีใหม่ เพื่อเป็นการเปิดการท่องเที่ยวแนวใหม่ในการเข้าชมช้างที่ปางช้างแม่สา ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมเป็นเดอะช้างเชียงใหม่

หลังจากปางช้างแม่สา ในอำเภอแม่ริม หนึ่งในปางช้างเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่ เปิดดำเนินการมานานกว่า 44 ปี ปัจจุบันมีช้างอยู่ทั้งหมด 78 เชือก ลุกขึ้นมาปฎิวัติการเลี้ยงช้างเพื่อการท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายปี 2562 โดยการปลดโซ่ตรวน ปลดแหย่ง ยกเลิกการใช้ตะขอเพื่อบังคับช้าง และหันมาเลี้ยงดูช้างแบบอนุรักษ์ ปล่อยให้ช้างอยู่อิสระตามธรรมชาติ หลังเกิดกระแสต่อต้านจากองค์กรด้านการอนุรักษ์สัตว์ในต่างประเทศ ที่โจมตีธุรกิจการเลี้ยงช้างเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศไทยว่า เป็นการทรมานช้างและอาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ต้องหยุดกิจการตามนโยบายของรัฐบาลนานร่วม 4 เดือน จึงได้ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนวิถีการเลี้ยงแบบNew Normol

 

ในเรื่องนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรม Elephant Care Educational Trip นำมัคคุเทศก์ จากบริษัทนำเที่ยว และสมาคม ชมรมจากทั่วประเทศกว่า 50 คน เดินทางมาศึกษาดูงาน ที่เดอะช้าง เชียงใหม่ 1ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปางช้างแม่สา ซึ่งเป็นต้นแบบของปางช้างที่ปรับเปลี่ยนสู่การเลี้ยงช้างแบบอนุรักษ์ ให้ช้างอยู่ตามธรรมชาติแบบอิสระ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาทำกิจกรรมดูแลช้าง ทั้งการเรียนรู้เรื่องสมุนไพรรักษาช้าง การป้อนอาหาร การให้ยาช้าง และการอาบน้ำทำสปาให้ช้าง


น.ส.รัตนา ศรีหมอก ผู้จัดการปางช้างแม่สา ได้เผยว่าในขณะนี้ปางช้างแม่สา ได้เปลี่ยนแนวการเลี้ยงช้างออกเป็น 3 โซน เดอะช้าง1โซนช้างชรา เดอะช้าง2 เนอสรี่ช้างน้อยและเดอะช้างวิลเลทก็คือกลุ่มช้างบ้านโต้งหลวง หมู่บ้านชาวเขาเดิม ในขณะนี้ต้องเปลี่ยนการเลี้ยงช้างวิถีใหม่เพื่อให้เกิดรายได้ เพราะตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563เป็นต้นมารายได้ของปางช้างแม่สาเป็นศูนย์ แต่เราก็ต้องเลี้ยงช้างจำนวน78 เชือกตามปกติเพราะช้างแม่สาเป็นช้างเจ้าของเป็นช้างของบริษัท เราไม่สามารถนำช้างกลับบ้านได้ แต่เราจะอยู่อย่างไรให้เราอยู่รอดได้ ช้าง เชือกต้องมีควาญช้าง1 คนปางช้างอื่นปิดและนำช้างกลับบ้าน แต่ที่นี่เป็นบ้านเราต้องอยู่ที่นี่ เราไปไหนไม่ได้ต้องหารายได่ทดแทนโดยการทำปุ๋ยอินทรีย์ ปลูกข้าวเหนียวเลี้ยงช้างและต้องซื้อยาเลี้ยงช้างวันละถึง 15 ตัน

ในตอนหลังนี้แม่สาจะเป็นจากการแสดงและขี่ช้างมาเป็นป้อนอาหารให้ช้างกิน เราให้ชมฟรีแต่ขอให้ช่วยซื้อตระกร้าอาหารช้างเพียง 100 บาทมาช่วยเลี้ยงช้างก็จะเห็นกิจกรรมที่เปลี่ยนไปและปางช้างแม่สาต่อไปจะเป็นช้างปลดโซ่มารอรับอาหาร และกิจกรรมปางช้างแม่สา นอกจากจะซื้อตระกร้าเลี้ยงช้างยังจัดให้มีกิจกรรมอาบน้ำให้ช้าง แต่เดิมเคยขาย 1,500 บาท แต่เดี๋ยวนี้เราขายแค่ 300 บาท เพราะเราไม่มีลูกค้าต่างชาติ เรามีเฉพาะคนไทย และในขณะนี้เรายังเปิดมูลนิธิอนุรักษ์ช้างไทย เพื่อช่วยเหลือช้าง และหลังจากมาตรการโควิดเบาบางลง เราก็จะเปิดปางช้างเป็นมาช่วยเราเลี้ยงช้างแทนซึ่งจะเป็นแนวใหม่ของปางช้างแม่สาที่ทางคุณอัญชลี กัลมาพิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ปางช้างแม่สา ได้วางนโยบายไว้ชัดเจน

นายสัตวแพทย์ รณชิต รุ่งศรี สัตวแพทย์ประจำปางช้างแม่สา กล่าวว่า ถือเป็นความท้าทายของปางช้างแม่สาในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงช้างแบบอนุรักษ์ แต่หลังเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 การท่องเที่ยวหยุดชะงัก นักท่องเที่ยวต่างชาติกลายเป็นศูนย์ ปางช้างแม่สาจึงใช้โอกาสในช่วงวิกฤตนี้เตรียมความพร้อมเพื่อปรับเปลี่ยนการเลี้ยงช้างแบบอนุรักษ์ และสร้างการรับรู้ต่อสังคม และผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อสื่อสารต่อไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่จะกลับมาในอนาคตหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 คลี่คลาย

โดยเดอะช้างเชียงใหม่ 1 เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า ปางช้างแม่สา มีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสกับการเลี้ยงช้าง ที่ส่งเสริมให้ช้างได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระกับธรรมชาติ ไร้เครื่องพันธนาการ และมีการดูแลช้างให้มีสุขภาพที่ดี เพราะช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย

4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ผนึกกำลังจัดงาน Lanna Expo 2020ครั้งที่ 8

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 8 ก.ย.นี้ ที่ นิมมาน คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จ.เชียงใหม่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน)นำโดย นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผวจ.เชียงใหม่แถลงข่าวการจัดงาน Lanna Expo 2020 ครั้งที่ 8 ระหว่าง 18 –17 กันยายนนี้ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “กินดี อยู่ดี ชีวิตวิถีใหม่” พบกับงานออกร้านแสดงและจำหน่ายสินค้าและบริการสุดยอดผลิตภัณฑ์จากกลุ่มภาคเหนือตอนบน 1กว่า 750 คูหา และกิจกรรมเจรจาธุรกิจเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มภูมิภาค ขยายฐานการตลาดสู่ระดับนานาชาติ


นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผวจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า งาน Lanna Expo 2020 ครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ต่อยอดความสำเร็จจากทุกปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดให้เกิดการเติบโตทางการค้าและการลงทุน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสในการสร้างงาน และกระจายรายได้สู่ชุมชน ตลอดจนมีการเจรจาธุรกิจเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มภูมิภาค ขยายฐานการตลาดสู่ระดับนานาชาติ โดยในปี 2563 นี้มีกำหนดจัดงานระหว่างวันศุกร์ที่ 18 ถึงวันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา เชียงใหม่

 

งาน Lanna Expo 2020 ปีนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “กินดี อยู่ดี ชีวิตวิถีใหม่” โดยภายในงานแบ่งพื้นที่เป็นคูหาแสดงและจำหน่ายสินค้าและบริการสุดยอดผลิตภัณฑ์ จำนวน 4 กลุ่ม 4 โซนสินค้า ได้แก่กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่ง จะจัดแสดงและจำหน่าย ในโซนสินค้าเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่ง
กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม สมุนไพร จะจัดแสดงและจำหน่าย ในโซนสินค้าสุขภาพและความงาม สมุนไพรกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นและสิ่งทอ ของฝากของที่ระลึก และอื่น ๆ จะจัดแสดงและจำหน่าย ในโซนสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นและสิ่งทอ ของฝากของที่ระลึก และอื่น ๆ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เกษตรแปรรูป จะจัดแสดงและจำหน่าย ในโซนสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เกษตรแปรรูป และยังมีจุดที่น่าสนใจคือ โซนจัดแสดง Lanna Handicraft Festival

ซึ่งเป็นการนำเสนอผลงานการสืบสานภูมิปัญญาล้านนาที่สะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของท้องถิ่นล้านนา ได้แก่ การสาธิตการแกะลาย พิมพ์แป้ง ย้อมคราม, การจัดแสดงเครื่องจักสาน, การสาธิตการลงสีร่มกระดาษสา และพัดกระดาษสา, การจัดแสดงเครื่องเงินแห่งเมืองล้านนา, การจัดแสดงผ้าห่อคัมภีร์, การจัดแสดงพวงกุญแจจากผ้าทอ, การจัดแสดงโคมล้านนา และโคมไต, การจัดแสดงดุนโลหะ (ต๋งลาย), การจัดแสดงดอกสวย และการจัดแสดงเสื้อเย็บมือจากชนเผ่าอาข่า


นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของการเจรจาธุรกิจที่ได้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการในยุค New Normal ผ่านระบบ Online Business Matching ที่ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอสินค้าให้กับคู่ค้า และเจรจากับผู้ประกอบการ ชมคลิปวิดีโอ แคตตาล็อกสินค้า ฝากข้อความนัดเวลาเจรจาการค้าล่วงหน้าหรือเจรจาการค้าได้ทันที ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้คาดการว่าจะมีผู้เข้าชมงานร่วม 5แสนคนตลอดระยะเวลาการจัดงาน

อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ถือว่ายังอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด – 19 ซึ่งคณะผู้จัดงานได้ตระหนักถึงความสำคัญของมาตรการในการดูแลสุขอนามัยแก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยจะดำเนินการตามมาตรการและข้อกำหนดในการควบคุมโรคโควิด – 19 อย่างเคร่งครัดตั้งแต่การเข้าติดตั้งงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน การดูแลเรื่องระยะห่างของบูธแสดงสินค้า มาตรการด้านสุขภาพและอนามัยต่าง ๆ ระหว่างการจัดงาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาในพื้นที่งานแสดงสินค้า การคัดกรองคนเข้างานด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ การติดตั้งเจลแอลกอฮอล์ตามจุดต่าง ๆ ทั่วบริเวณงาน การดูแลความสะอาดของพื้นผิวสัมผัสภายในบริเวณงาน รวมถึงการจัดการจำนวนผู้เข้าร่วมงานไม่ให้หนาแน่นเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบต่าง ๆ ด้านสุขอนามัย และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงานตลอดระยะเวลาการจัดงาน

โรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัย ปิดตัว หลังเปิดมา 7 ปี เตรียมยกฐานะเป็น “วิทยาลัยพุทธิวัฒนาประชาสุขสันต์” 

เวลา 09.00 น.วันที่ 9 ส.ค.63 ที่อาคารศรีศุภอักษร วัดพระธาตุดอยสะเก็ดพระอารมหลวง ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ได้มีพิธีปัจฉิมนิเทศและอำลา – อาลัยโรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัย หลังเปิดการเรียนการสอนให้แก่ผู้สูงอายุมาเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยมีนักเรียนผู้สูงอายุที่เข้ามาเรียนในรอบ 7 ปี ตั้งแต่ปี 2556 – 2562 มีนักเรียนผู้สูงวัยจำนวน 2,395 คน รวมอายุ 164,226 ปี

กิจกรรมวันสุดท้ายของพิธีปัจฉิมนิเทศและอำลาอาลัยโรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัย มีการมาลงทะเบียน เกือบ 300 คน แล้วเคารพธงชาติ และกิจกรรมต่างๆ พระราชโพธิวรคุณ เจ้าคณะอำเภอดอยสะเก็ด เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมกล่าวให้โอวาส  นายจิระชาติ ซื่อตระกูล นายอำเภอดอยสะเก็ด เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายชุติพนธ์ สารแปง นายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย ฤาษี พุทธจรัล อ.สนั่น ธรรมธิ ร่วมในพิธีอำลาโดยมีกิจกรรมการสอน “สืบสานภูมิปัญญาตีลายแผ่นแร่”เพื่อเป็นอาชีพเสริมให้นักเรียนชราบาลฯไว้ทำคลายเครียดและ ก่อนที่จะปิดการเรียนการสอนของนักเรียนชราบาล ฤาษี พุทธจรัล ได้กล่าวให้โอวาทและสอนเคล็ดลับการมีอายุให้ยืนยาวพร้อมการสอนออกเสียงเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง จากนั้นได้มีการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญโดย อ.สนั่น ธรรมธิ

นายชุติพนธ์ สารแปง นายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย เผยว่าจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2556 เพื่อให้ผู้สูงอายุในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด ได้มีกิจกรรมและเพื่อไม่ให้อยู่บ้านตามลำพัง โดยมีนักเรียนจากจุดเริ่มโรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัยจำนวน 185 คน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดในปี 2562 มีจำนวน 709 คน ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นจากการริเริ่มของเทศบาลตำบลเชิงดอย เพื่อตอบโจทย์เกี่ยวกับสุขภาพผู้สูงอายุ ในการเตรียมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในช่วงเริ่มต้นต้องการให้ผู้สูงอายุมีรายได้ แต่ปรากฏว่าผู้สูงอายุบอกว่ารายได้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ อาชีพทำเป็นมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นที่มาแนวคิดให้เป็นโรงเรียนแห่งความสุข เน้นสันทนาการ จนทำให้ผู้สูงอายุหายจากโรคซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งการเรียนการสอนมีหลากหลาย อาทิ วิชาคาราโอเกะการร่วมร้องเพลง  การออกกำลังกายเต้นตามจังหวัดเพลง การแข่งหัวเราะ การแข่งขันกีฬาผู้สูงอายุ และพอผู้สูงอายุมาอยู่รวมกันทำให้เขามีความกล้าที่จะทำกิจกรรมร่วมกันเป็นต้น ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า ” ภูมิปัญญา ศึกษาเทคโนโลยี แก่อย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีคุณภาพ”

“สืบเนื่องจากในตอนนี้ถึงจุดอิ่มตัวของนักเรียนผู้สูงอายุแล้ว ผมจึงมีแนวคิดจะปรับเปลี่ยนสร้างโรงเรียนแนวสถาบันครอบครัว คือ จะได้จัดตั้งยกฐานะจากโรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัย เป็น “วิทยาลัยพุทธิวัฒนาประชาสุขสันต์” ในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ โดยจะเปิดให้มีผู้สูงอายุ แม่บ้านพ่อบ้าน ตลอดจนเยาวชนและเด็กๆ ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน โดยสร้างความผูกพันในครอบครัวให้ พ่อ แม่ ปู่ย่า ตา ยาย สอนลูกหลานเรื่องอาชีพหรือประวัติศาสตร์ประเพณีวัฒนธรรม แล้วให้ลูกหลานสอนเทคโนโลยีในยุคใหม่ของเยาวชนแก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายเป็นต้น  ดั่งคำที่ว่า พัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ผู้สูงอายุพื้นฐานการมีส่วนร่วม ส่งเสริม สนับสนุนชุมชนให้มีศักยภาพ มีความพร้อม ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ สู่สถาบันครอบครัวที่อบอุ่นต่อไป”นายชุติพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับโรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัย “โรงเรียนผู้สูงอายุแห่งแรกของไทย” มีนักเรียนอายุรวมทั้งหมดใน 7 ปีที่ผ่านมาอายุรวม 164,226 ปี  นักเรียนเข้าเรียน 2,395 คน จากเวลา 7 ปี ของการเปิดโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศไทย จึงได้ถือฤกษ์ วันที่ 9 เดือน 9 กันยายน 2563 จัดพิธีปิดการเรียนการสอนโรงเรียนชราบาลวุฒิวิทยาลัย “ปิดเพื่อก่อ” พร้อมยกฐานะขึ้นจาก “โรงเรียน” เป็น”วิทยาลัยวัฒนาประชาสุขสันต์”

ยอดสินค้าโอทอปจากแพร่สู่เชียงใหม่ ในงาน “แพร่โอทอปเทรดแฟร์” 28-30 ส.ค.นี้ ที่ห้างเซ็นทรัลพลาซาเชียงใหม่แอร์พอร์ต

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 28 สิงหาคม 2563 ณ บริเวณลานชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต จังหวัดเชียงใหม่ นายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “แพร่โอทอปเทรดแฟร์”

โดยมีนางอัญชลี บุญณราช รองประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดแพร่ ร่วมเป็นเกียรติในงาน พร้อมด้วยนางศลิษา ม่วงใหม่ พัฒนาการจังหวัดแพร่ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน พัฒนาการอำเภอ นำแขกผู้มีเกียรติและกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ให้การต้อนรับ

กิจกรรมในงาน ประกอบด้วย การจำหน่ายผลิตภัณฑ์จังหวัดแพร่ 16 บูธ การจัดแสดงผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดแพร่ และกิจกรรมสินค้านาทีทอง พร้อมกิจกรรมร่วมสนุก ลุ้นรับของที่ระลึก ทุกวัน ในงานยังมีแขกผู้มีเกียรติคือนายสงค์ศักย์ คำดีรุ่งริรัตน์ ผอ.สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จ.เชียงใหม่ เดินทางมาร่วมงานด้วย

ทางสำนักงานพัฒนาชุมชน จ.แพร่ จัดงาน “แพร่โอทอปเทรดแฟร์” จัดขึ้นระว่างวันที่ 28-30 ส.ค.2563 ก็ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวเชียงใหม่ และชาวต่างชาติเดินทางไปจับจ่ายซื้อสินค้า OTOP จ.แพร่ได้

เพื่อเป็นการส่งเสริมช่องทางการตลาดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนสร้างอาชีพ สร้างรายได้ตลอดจนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้า OTOP ที่สำคัญเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จ.แพร่ ที่สำคัญยังได้ใช้เวทีนี้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์เรื่องการผลิตและการตลาดต่อไป.

ผู้ช่วยฯวิสนุ ตั้งเป้ายึดทรัพย์ขบวนการค้ายาเสพติด 6,000 ล้านบาท เสริมมาตรการเข้มข้น

 

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 23 สิงหาคม 2563ที่ห้องประชุมนานาชาติ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว ต.สุเทพ อ.เมือง จว.เชียงใหม่ พล.ต.ท. วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาเพื่อพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ด้านการสืบสวน สอบสวน ขยายผลในคดียาเสพติด ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเงิน (โครงการแกะรอยเส้นทางการเงิน(ภาคทฤษฎี)

โดยมีพล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ. 5 พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต รอง ผบช.ภ. 5 นำตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค5จำนวน 800 นาย เข้าร่วมประชุมสัมมนาในครั้งนี้เพื่อพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ด้านการสืบสวน สอบสวน ขยายผลในคดียาเสพติด ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเงิน ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนด มาตรการรวมถึงแนวทางในการแก้ไขยาเสพติดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มีผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากอาชญากรรมด้านยาเสพติดสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชนโดยรวม

 


พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เผยว่าการอบรมในวันนี้ตามนโยบายของรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยภาคีเครือข่าย ปปส.ร่วมกับตำรวจภธรภาค 5 จัดสัมมนาโครงการที่จะติดอาวุธให้กับพนักงานสืบสวนสอบสวนในการขยายผลดำเนินการกับเครือข่ายยาเสพติด สามารถยึดทรัพย์ขยายผลต่างๆให้เกิดประสิทธิภาพในการที่จะถอนรากถอนโคนพ่อค้ายาเสพติดให้สิ้นซากไปให้ได้ ก็ต้องอาศัยการยึดทรัพย์ ในครั้งนี้จึงเป็นการติดอาวุธให้เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆในการตรวจสอบขยายผลต่างๆ

ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงมาตรการยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาเสพติด แต่กลุ่มคนพวกนี้เมื่อพ้นโทษมาแล้วจะย้อนกลับมานำเงินมาซื้อทรัพย์สินที่ถูกยึดคืนจะมีมาตการอย่างใด พล.ต.ท.วิสนุ ตอบว่าทางตำรวจมีมาตรการรองรับอยู่แล้ว ตัวการใหญ่จะไม่มาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เวลาการจับกุมจะจับกุมได้แต่คนกลาง แต่คราวนี้รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนถอนรากถอนโคนขยายไปที่ต้นทางและปลายทางให้ได้ ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดทั้งหมด ก็มี ปปส.ใช้มาตรการหลังการฟอกเงิน เขาจะเอากลับไปไม่ได้อีกแล้ว

“ในปีนี้เราสามารถยึดทรัพย์ได้พันกว่าล้านบาท แต่ในปี 2564 ตั้งเป้าให้ได้ถึง 6,000 พันล้านบาท เพราะฉนั้นการที่จะได้มา 6,000 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จะต้องทุ่มเท ต้องมีความรู้ มีความเอาใจใส่ ทำงานร่วมกัน เครือข่ายข้อมูลต่างๆต้องมาบูรณาการร่วมกันทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ปปส. ปปง กรมศุลกากร และรูปแบบของขบวนการค้ายาเสพติดใช้หลากหลายวิธีในการอำพราง โดยเฉพาะการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งใช้วิธีการอำพรางอย่างแยบยลและสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ยากต่อการติดตาม ตรวจสอบและจับกุมดังนั้นเจ้าหน้าที่เราก็ต้องมีความชำนาญมากขึ้นในการทำลายเครือข่ายและเส้นทางการเงิน เหมือนเช่นในครั้งนี้จะต้องมีการติดอาวุธในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขบวนการค้ายาเสพติดจะไปไม่รอดไม่ว่าจะลำเลียงซ่อนโดยวิธีการใดก็ตาม”ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว

การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลิตภัณฑ์ไมซ์ใหม่-พร้อมจัดการท่องเที่ยวแบบ New Normalณ เดอะช้างเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลิตภัณฑ์ไมซ์ใหม่-พร้อมจัดการท่องเที่ยวแบบ New Normalณ เดอะช้างเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลิตภัณฑ์ไมซ์ใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ Thailand 7 MICE Magnificent Themes 2020 Concept : Fun Knowledge ณ เดอะช้างเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้นโดย TCEB สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Convention&Exhibition Bureau โดยมีนายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธาน และมีผู้ประกอบการแหล่งท่องเที่ยวต่างๆที่เป็นสมาชิกฯ ได้เข้าร่วมฟังการบรรยาย

โดยมีวิทยากรที่มีประสบการณ์ในวงการท่องเที่ยวหลายท่าน ได้มาให้ความรู้ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายในการจัดการเส้นทางท่องเที่ยวให้กลุ่มนักเดินทาง MICE ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีความต้องการสินค้าท่องเที่ยวที่มีความเป็นพิเศษ ทางผู้จัดงานจึงต้องการเตรียมความพร้อมก่อนที่กลุ่ม MICEจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังเหตุการณ์โควิด19 ได้คลี่คลายลงแล้ว และนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE สามารถเดินทางมายังไทยได้ตามปกติ

ทั้งนี้ ปางช้างแม่สา ได้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการฯ และได้ทำการปรับรูปแบบการท่องเที่ยวปางช้างเป็นแบบ New Normal พร้อมต้อนรับนักเดินทางกลุ่ม MICE ซึ่งสามารถสร้างความอุ่นใจแก่นักท่องเที่ยว และมีส่วนช่วยในการลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อีกด้วย


นางอัญชลี กัลมาพิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ปางช้างแม่สา ได้เผยว่าในการจัดการประชุมในครั้งนี้ถือว่าได้ผลมากมีทั้งผู้ประกอบการและวิทยากรที่มาให้คำแนะนำในการต่อยอดในเรื่องของการที่จะทำอย่างให้เราสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่และก็มีคนเข้าท่องเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ สอนให้เรารู้จักวิธีการบอกเล่าให้เรารู้จักกลุ่มเฉพาะของนักท่องเที่ยวที่สามารถมาใช้จ่ายได้มากกว่านักท่องเที่ยวปกติ นั่นก็คือกลุ่มพิเศษเข้ามาเพื่อที่จะประชุมสัมมนาแล้วก็ยังมีเวลาว่างที่จะมาท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆมาทำกิจกรรมต่างๆ

วันนี้มิติของการทำกิจกรรมของช้างได้เปลี่ยนไปแล้ว เราจะมีวิธีบอกเล่ากันอย่างไร เราก็ต้องเชิญผู้ประกอบการมา เชิญชวนให้มีการสัมมนาหรือมาฟังผู้ประกอบการพูดอย่างวันนี้ จะได้พูดทำความเข้าใจกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกันคนที่อยู่ในวงการท่องเที่ยว ถึงวันนี้เรายังรอคอยนักท่องเที่ยวที่จะมา แต่นั่นก็คือการเตรียมความพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ตรงเป้า กลุ่มที่มีความสุขกลุ่มที่เข้าพอจะมีศักยาภาพที่มาท่องเที่ยวในมิติใหม่ของการท่องเที่ยวของประเทศไทย

สุดประทับใจ ภาพทำบุญตักบาตรกลางทุ่งนาบ้านโต้งหลวง อิ่มบุญอิ่มธรรมชาติที่งดงามยิ่ง

นักท่องเที่ยวที่ไปพักที่โฮมสเตย์บ้านโต้งหลวง หมู่ 9 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ สถานที่เลี้ยงช้างชราของเดอะช้าง ของปางช้างแม่สา ในเช้าตรู่ต่างพากันตื่นแต่เช้ามาชมทุ่งนาขั้นบันได สลับกับดอยยามหน้าฝนไอเมฆสายหมอกลงมาหยอกล้อเล่นกันดอย พร้อมอากาศที่เย็นสบายออกหนาวที่แสนบริสุทธิ์ ของยามเช้า และภาพที่สุดประทับใจสมกับคำว่าเที่ยวหลักร้อยวิวหลักล้านที่เห็นต่อหน้าและสัมผัสสูดกลิ่นอายธรรมชาติที่แสนงาม ชนิดตรึงตาตรึงใจไปนานเท่านาน

 

 

ที่สำคัญในปรากฎการณ์ที่จะจารึกไว้ในกาลครั้งหนึ่งของชีวิต..เมื่อได้ร่วมทำบุญตักบาตรร่วมกับชนเผ่าชาวดอยดาราอั้ง หรือปะหล่อง ที่ในหมู่บ้านและกลางทุ่งนาบ้านโต้งหลวง ซึ่งเป็นโอกาสที่หาไม่ได้เพราะ เป็นช่วงที่พระสงฆ์จากสำนักสงฆ์ในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นควาญช้างของปางช้างแม่สา ที่ไปบวชถวายในช่วงก่อนวันแม่แห่งชาติ ที่ จังหวัดปทุมธานี ได้กลับมาเยี่ยมโปรดสัตว์ช้างที่เคยเลี้ยงได้มาจำวัดที่บ้านโต้งหลวง ได้ออกมาเดินบิณฑบาตรผ่านหมู่บ้านและทุ่งนาในยามเช้า ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของนาขั้นบันไดและป่าดอยช่วงฤดูฝน มีชนเผ่าดาราอั้งในชุดแต่งกายประจำเผ่าที่งดงามมายืนเรียงรายเส้นทางกลางทุ่มนาเพื่อใส่บาตรพระ

 

และที่สุดประทับใจเมื่อเส้นทางที่เดินผ่านมีช้างชราวัย 70 ปีชื่อพังอ้วน ที่มารอใส่บาตรและรับการโปรดสัตว์ของพระที่เคยเลี้ยงมา และทางพระสงฆ์ที่เคยเป็นควาญช้างได้โปรดสัตว์ให้อาหารในบาตรป้อนช้างเป็นภาพที่ประทับใจนักท่องเที่ยวมากและพระสงฆ์ยังเข้าบิณฑบาตรในหมู่บ้านให้ชาวบ้านได้มาร่วมใส่บาตรตลอดเส้นทางชนิดอิ่มบุญกันถ้วนหน้า

คุณอัญชลี กัลมาพิจิตร กรรมการผู้จัดการปางช้างแม่สา ที่มาร่วมใส่บาตรได้กล่าวว่าได้มาร่วมทำบุญตักบาตรโดยมีพระสงฆ์9 รูปที่บวชเฉลิมพระเกียรติ เมื่อก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งพระที่ไปบวชเป็นพนักงานและควาญช้างแม่สา ได้เดินทางกลับมาโปรดสัตว์ ซึ่งถือเป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ หลังจากที่เราอยู่ในช่วงวิกฤติโควิด19 อย่างรุนแรงที่สุด ทำให้สภาพเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไม่ดีเลย ดังนั้นในเช้าวันนี้จึงถือโอกาสทำบุญและนิมนต์พระมาทำบุญตักบาตรร่วมกับชนเผ่าดาราอั้งหรือปะหล่องเพื่อเป็นสิริมงคลของชีวิต

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่16 ร่วมกับชมรมคนพร้าวรักษ์ป่าปลูกป่าเพื่อเป็นอาหารสัตว์และส่งเสริมการท่องเที่ยว

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่16 ร่วมกับชมรมคนพร้าวรักษ์ป่าและหน่วยงานทุกภาคส่วนปลูกป่าในพื้นที่อำเภอพร้าวและในไม้พื้นถิ่นภายในเขื่อนแม่งัดอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่เพื่อเป็นอาหารสัตว์และส่งเสริมการท่องเที่ยว


วันที่14 สิงหาคม 2563 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ร่วมกับชมรมคนพร้าวรักษ์ป่า สมาคมยางนาและขี้เหล็กสยาม ชมรมผู้ประกอบการเรือนแพ ภาคีเครือข่ายอ.แม่แตง และโครงการธรรมชาติปลอดภัย เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกันปลูกต้นไม้ภายใต้“โครงการปลูกไม้พื้นถิ่นส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นแหล่งอาหารสัตว์ป่า” ขึ้นในพื้นที่เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล โดยร่วมกันปลูกไม้พื้นถิ่นหลากสีและไม้อาหารสัตว์จำนวน 2,100 ต้น ระยะทาง 500 เมตร เพื่อแสดงความจงรักภักดี และปลูกจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสัตว์ป่า ตลอดจนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันที่มีต่อประชาชนชาวไทย

นายเกรียงศักดิ์ ถนอมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) เปิดเผยว่า โครงการปลูกไม้พื้นถิ่นนั้นเป็นส่งเสริมการท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นการช่วยส่งเสริมบรรยากาศ และสภาพสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในพื้นที่เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล

สำหรับพันธุ์ไม้พื้นถิ่นหลากสีที่นำมาปลูกมี 8 ชนิดได้แก่ ทองกวาว รวงผึ้ง ราชพฤกษ์ ตะแบก เสลา อินทนิลน้ำ งิ้วป่าดอกแดง และเสี้ยวดอกขาว ส่วนพันธุ์ไม้อาหารสัตว์ได้แก่ ต้นขี้เหล็ก มะขามป้อม และหว้า โดยจะทำการปลูกแซมไปกับไม้พื้นถิ่นเดิม บริเวณด้านในเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ ซึ่งในอนาคตบริเวณดังกล่าวจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมบรรยากาศดอกไม้หลากสีที่สลับกันบานตลอดทั้งปี สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าไปพักที่เรือนแพ และยังเป็นแหล่งอาหารให้กับสัตว์ป่าซึ่งได้มีกิจกรรมปล่อยสัตว์ป่าในพื้นที่ในปีที่ผ่านมาทั้งกวางผาและไก่ฟ้า


สำหรับอุทยานแห่งชาติศรีลานนา ถือเป็นอุทยานแห่งชาติสีเขียวอันดับต้นๆของภาคเหนือ ซึ่งมีระบบจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแต่ละปีจึงมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาพักผ่อนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวในเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เนื่องจากมีทิวทัศน์ที่สวยงาม และเป็นแหล่งรวมกิจกรรมทางน้ำ เช่น การพักเรือนแพ พายเรือฯ ดังนั้นการปลูกไม้พื้นถิ่นหลากสีครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้กับเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนาด้วย

ขณะที่ในช่วงเช้าที่ผ่านมาชมรมคนพร้าวรักษ์ป่ากับประชาชนทุกภาคส่วน ชาวอำเภอแม่แตง อำเภอพร้าว อำเภอเชียงดาว กว่า 1,200 คน ร่วมกันปลูกป่า ป่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2563 ที่บริเวณริมสองข้างทาง ตรงป้อมพิทักษ์ธรรม ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ไปตามเส้นทางสู่อุทยานน้ำตกบัวตอง เป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร เพื่อร่วมกันถวายความจงรักภักดี และปลูกจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ตลอดจนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันที่มีต่อปวงชนชาวไทย

สำหรับพันธุ์ไม้ที่นำมาปลูกได้แก่ ราชพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ มะค่าโมง อินทนินท์น้ำ เสี้ยวดอกขาว จำนวน 5,989 ต้น ซึ่งการปลูกตลอด 2 ข้างจากป้อมพิทักษ์ธรรม ต.โหล่งขอด อ.พร้าว ต่อยาวไปตามเส้นทางสู่อุทยานน้ำตกบัวตอง ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นอกจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวแล้ว พันธุ์ไม้ดอกหลากสีที่นำมาปลูกยังช่วยสร้างสีสันและความสวยงาม เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย