ททท.ลำปาง เชิญชวนเที่ยวเขื่อนกิ่วลม ขึ้นเเพ กินปลา ชมความสวยงามของธรรมชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว

ททท.ลำปาง พาเที่ยวชมเขื่อนกิ่วลม ชมผืนน้ำที่ใส ความสวยงามของธรรมชาติ โดยร่วมกับวิสาหกิจชุมชนแพกิ่วลม นำโดยนางอัมพร ฤทธิ์ดีเป็งโต และคณะนำพาชมความงามในจุดต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วง Green Season กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว

เขื่อนกิ่วลม เป็นเขื่อนในการดูแลของกรมชลประทาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธิน ประมาณ 38 กิโลเมตรเศษ แยกซ้ายกิโลเมตรที่ 623 เข้า ไปอีก 14 กิโลเมตร ปิดกั้น แม่น้ำวัง ซึ่งเป็นแควที่มีขนาดเล็กและสั้นที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในท้องที่จังหวัดลำปางเพียงจังหวัดเดียวเกือบตลอดสาย และไหลลงสู่แม่น้ำปิงในเขตจังหวัดตาก แม่น้ำวังมีพื้นที่ลุ่มน้ำแคบ ประกอบกับมีฝนน้อยกว่าลุ่มน้ำอื่น ๆ ในภาคนี้ แม่น้ำจึงเล็ก แต่น้ำขึ้นและลงในเวลาอันรวดเร็ว กับมีระยะเวลาขาดแคลนน้ำค่อนข้างมาก การทำนาจึงขึ้นอยู่กับฝนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก และข้าวที่ปลูกได้ก็น้อยจนไม่พอบริโภคในจังหวัด เพื่อเป็นการแก้ไขความเดือดร้อนเกี่ยวกับเรื่องน้ำเพื่อการเพาะปลูกของราษฎรในขั้นแรกนั้น กรมชลประทานได้พิจารณาสร้างโครงการชลประทานแม่วังซึ่งเป็นโครงการประเภททดและส่งน้ำแบบเหมืองฝายขึ้นเป็นโครงการแรกเมื่อ พ.ศ. 2478 ต่อมา เมื่อความต้องการน้ำเพื่อการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น กรมชลประทานจึงสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำกิ่วลมที่ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อเก็บกักน้ำบนแม่น้ำวัง และสามารถส่งให้ราษฎรทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี เขื่อนกิ่วลมเป็นเขื่อนเก็กน้ำแห่งแรกในภาคเหนือ และเริ่มเก็บน้ำได้ในปี 2515

นางอัมพร ฤทธิ์ดีเป็งโต ประธานวิสาหกิจชุมชนแพกิ่วลม-สำเภาทอง เปิดเผยว่า เขื่อนกิ่วลมตั้งอยู่ หมู่ที่ 9 บ้านหาดเชี่ยว ต.บ้านแลง อ.เมือง จ.ลำปาง และในเขื่อนแห่งนี้ มีแพทั้งหมด 34 ลำ โดยการล่องแพจะเริ่มที่บริเวณหน้าเขื่อนกิ่วลม ไปจนถึงทะเลสาบสำเภาทอง ระยะทางรวมประมาณ 20 กิโลเมตร และในระหว่างทางก็จะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของ 4 แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำสมบัติ สะพานลิง และเกาะวังแก้ว ในช่วงนี้เป็นช่วง Green Season จึงมีบรรยากาศที่สวยงามมากยิ่งขึ้น เต็มไปด้วยความเขียวชะอุ่มของต้นไม้นานาพันธุ์ และความสวยงามตามภูมิทัศน์ขณะที่กำลังล่องแพ และยังได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านในชุมชนด้วย

สำหรับการท่องเที่ยวในเขื่อนกิ่วลม สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี และการบริหารการจัดการแพในการท่องเที่ยวนั้น ทางวิสาหกิจชุมชนยังได้ยึดถือวิสัยทัศน์ว่า “แหล่งน้ำอุดม เขื่อนกิ่วลมน่าเที่ยว เกษตรกรรมเขียวยั่งยืน เป็นสังคมเรียนรู้เอื้ออาทร ประชากรมีส่วนร่วม การพัฒนาแบบบูรณาการ” ดังนั้น หากแพไหนที่มีนักท่องเที่ยวเต็ม ก็จะมีการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังแพอื่นๆ เมื่อนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาล่องแพ และต้องการสถานที่พักผ่อนด้วย ทางแพก็มีสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งการพักผ่อนบนแพ และอีกจุดหนึ่งคือที่ เกาะวังแก้ว

ปัจจุบันก็มีลูกค้าที่เข้ามาหลากหลาย ทั้งการมาพักผ่อนส่วนตัว หรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน กับครอบครัว หรือมาแบบหมู่คณะ และการพักบนแพนั้น นักท่องเที่ยวสามารถที่จะนำอาหารมาทานบนแพได้ แต่หากต้องการแม่ครัว ทางแพก็จะประสานไปทางวิสาหกิจชุมชน คือประธานสตรีชุมชนภายในหมู่บ้านมาทำอาหารให้ เช่น ปลาที่ได้จากเขื่อน, เห็ดที่ชาวบ้านหามาได้ ผัก ตะไคร้ ใบมะกรูดที่ชาวบ้านหามาเอง บ่งบอกถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้านแบบเศรษฐกิจพอเพียง และหากนักท่องเที่ยวที่สนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อมายังวิสาหกิจกรรมชาวแพเขื่อนกิ่วลมได้ ที่เบอร์โทร 091-8566718

ททท.ลำปางนำทีมสื่อร่วมงาน เปิดกิจกรรม “กินปู ดูนา พาฟิน” ปูนาของดี แจ้ห่มครั้งที่1 เพื่อเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่ชุมชน

 

 

 

ผอ.ททท.ลำปาง นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลำปาง นำสื่อร่วมกิจกรรม กินปู ดูนา พาฟิน เพื่อต้องการสร้างภาพจำของพื้นที่ อ.แจ้ห่ม ที่มีสินค้าขึ้นชื่อ คือ น้ำ ปู หรือ น้ำปู๋ เป็นอาหารที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านในภาคเหนือ น้ำปูนั้นเป็นอาหารที่เกิดจากการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้กินเป็นเวลาแรมปี นอกจากที่ชาวบ้านจะทำไว้กินเองเเล้ว ยังนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมอีกด้วย น้ำปูที่มีชื่อเสียง ได้แก่ น้ำปูที่ทำที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง และน้ำปูที่ทำที่จังหวัดพะเยา

 

การทำน้ำปูนั้นไม่มีขั้นตอนใดที่ยุ่งยาก เเต่ต้องอาศัยความอดทนและเพียรพยายามของผู้ที่ทำอย่างสูง วัตถุดิบในการทำนั้นสามารถหาได้ในท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ ปูดิบ 100 กิโลกรัม ตะไคร้ ประมาณ 3 กิโลกรัม ใบมะกอก 10 กิโลกรัม จะทำให้น้ำปูมีสีดำสนิท ใบฝรั่ง 2 กิโลกรัม จะทำให้น้ำปูข้นและเหนียว ใบขมิ้นหรือใบข่า 2 กิโลกรัม จะทำให้มีกลิ่นหอม การทำน้ำปูในขั้นเเรกนั้นต้องมีปูนาเป็นจำนวนมากเสียก่อน (จำนวนหลายกิโลกรัม) หากต้องการน้ำปู 1 กิโลกรัม ก็ต้องใช้ปูนา ประมาณ 5 กิโลกรัม ปูนาที่ใช้ทำนั้นได้มาโดยการจับปูนาในท้องนา ชาวบ้านมักจะไปจับปูนาในวันที่มีเเดดจัด เเละอากาศร้อน เพราะจะมีปูนาจำนวนมากที่หลบหนีความร้อนจากน้ำในนาขึ้นมาเดินบนคันนา ปรากฏการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านสามารถจับปูนาจำนวนมากได้ง่ายขึ้น เเต่บางทีความเชื่อเช่นนี้ก็อาจมีข้อผิดพลาดได้เหมือนกัน หากปีใดมีอากาศวิปริตผิดฤดูกาลเเล้วชาวบ้านต้องจับปูนาโดยการใช้สวิงช้อนปูนาจากในนา การจับปูนานั้นมักทำกันในช่วงที่ชาวนาเริ่มไถนาเพื่อที่จะดำนา ส่วนใหญ่มักอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน

ปูนาที่ได้มาแช่น้ำเพื่อให้ปูนาคายสิ่งสกปรกออกเเละล้างด้วยน้ำซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ปูนาสะอาดขึ้น นำปูนาที่ได้ไปตำในครกที่เรียกว่า ครกมอง ในการบดปูก็ใส่ใบฝรั่ง ใบตะไคร้ ใบขมิ้น หรือใบข่า บดส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียดเเละนำมากรองลงในหม้อดินหรือถังพลาสติก หลังจากที่กรองเสร็จ นำกากปูที่ได้มาตำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง แล้วกรองลงในหม้อดิน จากนั้นนำไปกรองใส่ถังทิ้งไว้ให้เกิดปฏิกิริยา ช่วงนี้เรียกน้ำปูที่ได้ว่า น้ำปูดิบ ชาวบ้านมักเอาใบตองหรือผ้าขาวบางมามัดปากหม้อหรือถังไว้ เพื่อกันไม่ให้แมลงหรือสัตว์เล็ก ๆ เข้าไปในหม้อ หรือถังหมักน้ำปู ทิ้งไว้ 1 คืน หรือ 1 วัน เพื่อให้น้ำปูมีกลิ่นเเละรสชาติที่ดีขึ้น เมื่อครบ 1 คืน หรือ 1 วัน เเล้วนำน้ำปูมาเคี่ยว ส่วนใหญ่ทางกลุ่มจะเริ่มบดปู เวลาประมาณ 7-8 โมงเช้า จะเริ่มเคี่ยวในช่วงเวลาประมาณบ่าย 3-4 โมงเย็น แล้วเสร็จได้น้ำปู ก็ประมาณ 6 โมงเช้า ของวันใหม่ การเคี่ยวน้ำปูนั้นต้องทำกันในทุ่งนา เช่น กระท่อมกลางนาที่อยู่ห่างไกลผู้คน เพราะน้ำปูนั้นมีกลิ่นที่แรงมาก ชาวบ้านจะเคี่ยวน้ำปูโดยใช้ฟืน ซึ่งในขั้นเเรกของการเคี่ยวนั้นจะใช้ไฟเเรงก่อน เเละค่อยๆ ลดไฟลง เมื่อเคี่ยวจนน้ำปูเกือบแห้งเเล้วในช่วงนี้ต้องคอยคนตลอด เพื่อไม่ให้น้ำปูด้านล่างแห้งติดกระทะ จากนั้นก็จะเติมเกลือเล็กน้อย อาจมีการใส่ผงชูรสเพื่อทำให้น้ำปูที่ได้นั้นมีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น เมื่อน้ำปูใกล้จะแห้งจะจับกันเป็นก้อนสีดำ สำหรับผลิตภัณฑ์บางตลาดที่ต้องการให้ใส่กระปุกเล็ก สมาชิกกลุ่มจะนำมาใส่ “ออม” หรือกระปุก ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกระปุกของกะปิ นำมาปิดฝาให้เเน่น เเล้วเก็บไว้บริโภคหรือรอจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

การทำน้ำปูในเเต่ละท้องถิ่นนั้นมีสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น การเลือกใช้สมุนไพรต่างชนิดมาทำน้ำปู เช่น ใบตะไคร้ ใบขมิ้น ใบข่า หรือใบฝรั่ง เพราะฉะนั้นสูตรในการทำน้ำปูจึงไม่ค่อยตายตัวนัก มีการนำน้ำปูมาคลุกกับข้าวเหนียวร้อนๆ ซึ่งคนเหนือเรียกว่า บ่ายน้ำปู มีรสชาติที่อร่อยมาก นอกจากนี้ น้ำปู ยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิด เช่น ใส่ในแกงหน่อไม้ ส้มตำ หรือตำส้มโอ ใช้ทำน้ำพริกน้ำปู ซึ่งกินร่วมกับผักได้หลายอย่าง เช่น ถั่วฝักยาว มะเขือ ผักกาดกวางตุ้ง แตงกวา ผักกูด กะหล่ำปลีนึ่ง หรือจะเป็นหมูทอด ปลาทอด ก็ไม่ว่ากัน ในฤดูที่มีหน่อไม้ ชาวบ้านมักนำมากินกับหน่อไม้ต้ม ทำให้บางครั้งเรียกน้ำพริกน้ำปูกับหน่อไม้ต้มนี้ว่า น้องนาบ้านนาและเทพธิดาดอย จะอยู่ในช่วงหลังสงกรานต์ หรือปีใหม่เมืองเป็นต้นไป ซึ่งราคาก็จะขยับสูงขึ้นนิดหนึ่ง เนื่องจากใช้ระยะเวลาเก็บไว้นาน ก็เหมือนฝากเงินในธนาคารย่อมมีการบวกอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย น้ำปู นั้นจัดว่าเป็นอาหารที่มีจุดอ่อนเช่นเดียวกับอาหารพื้นบ้านประเภทอื่น เช่น มีความเชื่อว่าน้ำปูนั้นเป็นของแสลงสำหรับคนที่มีเลือดลมไม่ดี ผู้หญิงบางคนเมื่อกินน้ำปูเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน มีอาการหนาว ปวดหัว หรือปวดกระดูกเนื่องจากน้ำปูนั้นเป็นอาหารพื้นบ้าน คนที่ทำก็เริ่มเป็นผู้สูงวัยในหมู่บ้าน จึงมีโอกาสที่จะสูญหายหากไร้ผู้สืบทอด อย่างไรก็ตาม น้ำปู ก็ยังเป็นอาหารพื้นบ้านที่น่าสนใจมาก เพราะมีรสชาติอร่อย เเละชาวบ้านสามารถผลิตได้ในครัวเรือน การเก็บรักษานั้นก็ไม่ยาก เเละเก็บไว้ได้นาน นอกจากการทำน้ำปูแล้ว อำเภอแจ้ห่มยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อีกมากมาย

การท่าอากาศยานเชียงใหม่ฝึกซ้อมดับเพลิงและซ้อมอพยพหนีไฟอาคารผู้โดยสาร ประจำปี 2563

วันที่ 31 สิงหาคม 2563 นายณัฐวุฒิ ทาอินต๊ะ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการท่าอากาศยาน ท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นประธานการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ประจำปี 2563 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้พนักงาน ลูกจ้าง สายการบิน ผู้ประกอบการ ส่วนราชการและผู้ปฏิบัติงานในอาคารผู้โดยสาร ทบทวนการปฏิบัติเมื่อเกิดอัคคีภัย อาทิ การแจ้งเหตุ การใช้เส้นทางหนีไฟ การใช้อุปกรณ์ดับเพลิงเพื่อระงับเหตุเพลิงไหม้ขั้นต้น และการช่วยเหลือทางการแพทย์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎกระทรวง เรื่อง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย ว่าด้วยเรื่องให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความรุนแรงและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินหากเกิดอัคคีภัยหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ อีกด้วย

CSE ร่วมกิจกรรมปลูกปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ”

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด หรือ CSE ร่วมกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 88 พรรษา โดยมี คุณรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นประธานในพิธี ณ ป่าชุมชนบ้านต้นผึ้ง หมู่ที่ 7 ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่

นายไพรัช โตวิวัฒน์ กรรมการอำนวยการ บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดเผยหลังจากร่วมกิจกรรมว่า ในหลายปีที่ผ่านมา CSE ขับเคลื่อนองค์กรโดยบูรณาการองค์ความรู้จากความเขี่ยวขาญ ของภาคเอกชน ภาควิชาการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมและมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องหมอกควันและทรัพยากรป่าไม้ถูกทำลาย การเผาพื้นที่ป่าที่ส่งผลให้เกิดหมอกควัน ถือเป็นปัญหาที่จังหวัดเชียงใหม่รวมถึงในหลาย ๆ จังหวัดภาคเหนือตอนบนประสบมาอย่างยาวนาน ซึ่ง CSE ได้จัดร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่อปลุกจิตสำนึกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงทางอาหาร และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้กิจกรรมลงพื้นที่เพื่อทำความรู้จักชุมชนที่ดูแลป่าและร่วมปลูกต้นไม้ในป่าชุมชนบ้านต้นผึ้ง ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมใน โครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ “เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN)” จัดขึ้น จึงถือเป็นโอกาสดีที่ CSE ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งของประชาชนในท้องถิ่นให้อนุรักษ์ป่าโดยเริ่มจากชุมชนของตนเอง และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วม รับผิดชอบต่อสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน นายไพรัช กล่าวทิ้งท้าย

แบงคอกคลินิคเรฟโวลูชั่น ร่วมกับ กู๊ดวิว วิลเลจ จัดประกวด Miss Grand Chiangmai 2020″ ค้นหาสาวงามเป็นตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อชิงมงกฎ “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์2020 ”

น.ส พนิดา เขื่อนจินดา น้องดินสอสี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คว้ามงกฎ จากเวทีการประกวด “PROUD OF CHIANGMAI มิสแกรนด์ เชียงใหม่ 2020”

แบงคอกคลินิคเรฟโวลูชั่น ร่วมกับ กู๊ดวิว วิลเลจ จัดประกวด Miss Grand Chiangmai 2020″ ค้นหาสาวงามเป็นตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อชิงมงกฎ “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์2020 ”

และในการประกวด ในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซนทรัลพลาซ่าเชียงใหม่แอร์พอร์ต ผลการประกวดในครั้งนี้ หมายเลข 5 ดินสอสี น.ส พนิดา เขื่อนจินดา ได้คว้ามงกุฎไปครอบครอง ทั้งนี้ หมายเลข 7 นภสร พันธุ์เกษม (ลดา) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 และ หมายเลข 6 กันยารัตน์ วัจรินทร์ (แนน) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ2

 

การประกวด “Miss Grand Chiangmai 2020” ในครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม Proud Of Chiang Mai มุ่งเน้นในการนำเสนอความเป็นเชียงใหม่ตามคำขวัญของจังหวัด ที่ได้ถ่ายทอดส่งผ่านตัวแทนสาวงามผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์เชียงใหม่ ทั้ง11 คน สาวงามผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศของปี 2020 นี้ จะได้รับมงกุฎเพชร “ Proud of Chiangmai  นามล้ำค่านครพิงค์ ”  มูลค่า 400,000 บาท

Lady Torch Trophy และ สายสะพายประจำตำแหน่ง  มิสแกรนด์เชียงใหม่ 2020 รางวัลเงินสด 100,000 บาท และรางวัลอื่นๆ อีกมากมายมูลค่า กว่า7แสนบาท และในปีนี้ สาวงามรุ่นพี่มิสแกรนด์เชียงใหม่ และเจนนี่ นฤมล คำพันธ์ มิสแกรนด์เชียงใหม่ 2019 ซึ่งได้รับตำแหน่ง รองชนะเลิศอันดับ1 จากเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2019 ได้มาร่วมงานเพื่อต้อนรับสาวงามคนใหม่เข้าสู่ครอบครัวมิสแกรนด์เชียงใหม่ และในวันนี้เจนนี่ ได้อำลาตำแหน่งหลังจากที่ได้ปฏิบัติหน้าที่มาตลอดหนึ่งปี และได้ส่งมอบหน้าที่มิสแกรนด์เชียงใหม่ ให้กับ หมายเลข 5 ดินสอสี น.ส พนิดา เขื่อนจินดา นักศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อทำหน้าที่ มิสแกรนด์เชียงใหม่ 2020 ในการเป็นตัวแทนประกวด มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2020 ในปีนี้ บนเวทีการประกวด มีการโชว์ชุดพิเศษที่เล่าถึงเรื่องของความเชื่อของล้านนา ซึ่งสร้างสรรค์โดยทีมงานแสนหลวง และปีนี้ผู้จัดได้เชิญ ดารานักแสดงอย่าง นุก สุทธิดา โก้ ธีรศักดิ์ นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังจากซีรีส์ เพราะเราคู่กัน กาย – ศิวกร เลิศชูโชติ , กันต์ – กรวิศ บุญศรี และนก KPN นักร้อง DIVA เสียงทรงพลังที่มาสร้างสรรค์เสียงเพลงในการใช้ประกอบการเดินรอบชุดว่ายน้ำและชุดราตรีให้เป็นวันอันสุดแสนพิเศษอีกด้วย

“ซันสวีท” เอาใจคนรักสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ธัญพืชรวม” พร้อมทาน ตรา KC

“ซันสวีท” เอาใจคนรักสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ธัญพืชรวม” พร้อมทาน ตรา KCผสานคุณประโยชน์ของธัญพืชทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ข้าวบาร์เลย์ ถั่วแดง ลูกเดือย งาขาว และงาดำ ที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพ เกิดรสสัมผัสที่หลากหลายเข้ากันอย่างลงตัวเคี้ยวเพลิน ทานง่าย อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงาน ใยอาหารสูง และไขมันต่ำ จะทานเล่นก็ได้หรือจะทานเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก ก็ดี ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ สะดวก อิ่มอร่อย ได้ในถ้วยเดียว
นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเปิดเผย ว่าบริษัทฯ ได้รุกตลาดในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 4 ตลาดในประเทศก็ยังคงมีทิศทางที่ดี เราในฐานะผู้ผลิตและจำหน่าย ก็จะมุ่งมั่นทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน (ready to eat) หลายชนิด ที่จำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ (เซเว่นอีเลฟเว่น) ทั่วประเทศ เน้นผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลตัวเอง และมองหาวิธีการสร้างสุขภาพที่ดีในรูปแบบของไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ

วางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ร้านสะดวกซื้อ เขตกรุงเทพและปริมณฑล

รัฐบาลญี่ปุ่นจัดพิธีส่งมอบอาคารเรียนโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ อ.แม่สรวย จังหวัดเชียงราย

                  รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พิธีส่งมอบอาคารเรียนภายใต้ “โครงการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย” ซึ่งสนับสนุนโดยรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (หรือโครงการคุซะโนะเนะ) ได้ถูกจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2563 โดยมี นายฮิโรชิ มัทสึโมะโตะ กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ เป็นผู้มอบ และ และนายสงคราม มังคะละ ผู้อานวยการโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ เป็นผู้รับมอบ
โรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซตั้งอยู่กลางภูเขาในเขตอาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งนักเรียนเกือบทุกคนเป็นเด็กชนเผ่าอย่างเผ่าอาข่าหรือเผ่ามูเซอ ที่ไม่ได้ใช้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ทางโรงเรียนมุ่งมั่นในการขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างจริงจัง เช่น การรับเด็กที่อยู่ห่างไกลเข้าพักที่หอพักของโรงเรียน ซึ่งระยะหลังจานวนเด็กนักเรียนได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและส่งเสริมให้สามารถก้าวสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ จึงถือเป็นบทบาทที่สาคัญยิ่ง
ขณะที่เด็กนักเรียนมีจานวนเพิ่มขึ้น แต่สภาพอาคารของโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซที่มีอยู่นั้นคับแคบและทรุดโทรมไม่สามารถจัดเป็นห้องเรียนที่มีคุณภาพตามจานวนที่จาเป็น บางชั้นเรียนต้องนั่งเรียนในห้องที่ดัดแปลงมาจากหอพักหรือห้องเก็บของ และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นต้องใช้ห้องเรียนแคบๆ ที่เคยเป็นห้องเรียนของเด็กปฐมศึกษา
จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ให้การสนับสนุนงบประมาณมูลค่า 5,835,000บาทแก่โรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซ เพื่อก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น 1หลัง สาหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น(ประกอบด้วยห้องเรียน 4 ห้อง และห้องเอนกประสงค์) ซึ่งการก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสนับสนุนในครั้งนี้จะช่วยให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนบ้านห้วยหญ้าไซได้รับการศึกษาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการจัดการกับความมั่นคงของมนุษย์โดยผ่านโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (คุซะโนะเนะ) ต่อไป

EA และ“กลุ่มช่วยกัน” มอบเครื่องช่วยโควิด-19 ให้กับสาธารณสุขและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รวมถึง10 จังหวัดภาคเหนือ

EA และ“กลุ่มช่วยกัน” มอบเครื่องช่วยโควิด-19
ลุย 10 จังหวัดภาคเหนือ

(วันที่ 2 ก.ค.63 เวลา 13.00 น.) ที่ ห้องประชุม 50 ปี อาคาร HB6คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน EA และ“กลุ่มช่วยกัน” มอบเครื่องช่วยโควิด-19 กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) EAและ“กลุ่มช่วยกัน” เดินหน้าดำเนินโครงการ เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศไทยผ่านพ้นสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19อย่างเป็นระบบ ด้วยการมอบเครื่องกำจัดเชื้อโรคขนาดเล็ก (Size S) เครื่องกำจัดเชื้อโรคขนาดกลาง(Size M)และเครื่องอบฆ่าเชื้อโรค (Sterilize cabinet) และการใช้แอปพลิเคชั่น“หมอชนะ” ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จไปหลายโครงการ รวมถึง 10 จังหวัดภาคเหนือ ล่าสุดได้ส่งมอบให้กับสาธารณสุขและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) EA และ“กลุ่มช่วยกัน” กล่าวว่า กลุ่มยังคงดำเนินโครงการ เพื่อช่วยเหลือให้ประเทศไทยผ่านพ้น สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 อย่างเป็นระบบ และการใช้แอปพลิเคชั่น“หมอชนะ”ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการเปิดเมืองเฝ้าระวังความเสี่ยงในการรับเชื้อและแพร่เชื้อของบุคคลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องของ Data Privacy เป็นเครื่องมือในการติดตามผู้ใช้งานแบบไม่ระบุตัวตนและไม่ล่วงล้ำข้อมูลส่วนตัว มีจุดเด่นในการใช้ระบบ Bluetooth ทำงานร่วมกับ GPS ทำให้สามารถติดตามได้ว่าผู้ใช้งานได้เคยเดินทางไปยังสถานที่ที่มีความเสี่ยง และ/หรือใกล้ชิดผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในระยะรัศมี 5 เมตร จึงทำให้สามารถคัดแยกผู้เสี่ยงติดเชื้อได้ในวงแคบอย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วหลายโครงการ ครอบคลุมถึงประชาชนทั่วไป รวมไปถึงหน่วยงานราชการ โรงพยาบาลทั่วประเทศ และ 10 จังหวัดทางภาคเหนือ อาทิ สสจ.ลำปาง,ลำพูน,เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอน,เชียงราย,พะเยา,น่าน,แพร่และอุตรดิตถ์ รวม ไปถึงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ล่าสุดที่จังหวัดเชียงใหม่วันนี้ได้ทำการส่งมอบเครื่องฆ่าเชื้อระบบ Air Purifier ขนาดเล็ก-ขนาดกลางและ อุปกรณ์เสริม เพื่อฆ่าเชื้อและป้องกันโควิด 19 ให้กับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 393 เครื่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,048,700 บาท แบ่งเป็น เครื่องฆ่าเชื้อ Air Purifier SFA3 จำนวน 126 เครื่อง Home Air Purifier (M) จำนวน 40 เครื่องฆ่าเชื้อ UV Germicidal Air Purifier L จำนวน 12 เครื่อง หน้ากาก Positive Pressure จำนวน 85 เครื่อง เครื่องกำจัดไวรัส แบบ ozone 34 เครื่อง และเครื่องกำจัดไวรัส Sterilizer box จำนวน 33 เครื่อง และ Sterilizercabinet จำนวน 53 เครื่อง
และ ยังมอบให้ คณะมนุษศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 15 เครื่อง

โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ โรม จินานุกรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายแพทย์จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ และ ผศ.ดร.ระวี จันทร์ส่อง คณบดีคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับมอบและให้การต้อนรับ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ประพล มิลินทจินดา รองประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจและการพาณิชย์ (IBERD) เข้าร่วมพิธี

“สำหรับพิธีมอบในวันนี้ กลุ่มฯมีจุดประสงค์เพื่อกระจายให้ครอบคลุมถึงโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและทุกหน่วยงานภาครัฐให้ทั่วถึงทั้งจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการช่วยเหลือดูแลระบบสุขภาพในเบื้องต้นแล้ว ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับบุคลาการทางการแพทย์และประชาชน ตามเจตนารมณ์ของกลุ่มที่ต้องการช่วยคนไทย ช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศ ให้ผ่านพ้นวิกฤต โควิด-19” นายสมโภชน์ อาหุนัย กล่าว

การท่าอากาศยานเชียงใหม่เผยเที่ยวบินในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัวจากเดือนก่อน แต่ยังไม่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ

นายอมรรักษ์ ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ในเดือนกรกฎาคม 2563 สายการบินต่างๆ ได้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากขึ้น เฉลี่ยวันละ 68 เที่ยวบิน จากเดิมในเดือนมิถุนายน 2563 ที่ทำการบินวันละ 40 เที่ยวบิน คาดว่าจะ ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากเดิมเฉลี่ยวันละ 4-5 พันคน โดยยังคงให้บริการเฉพาะเส้นทางการบินภายในประเทศ แต่มีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินในเส้นทางหลักคือ เชียงใหม่-กรุงเทพ หลายช่วงเวลามากขึ้น และเปิดเส้นทางการบินข้ามภาคหลาย ได้แก่ เชียงใหม่-อู่ตะเภา, เชียงใหม่-หาดใหญ่, เชียงใหม่-อุบลราชธานี และเชียงใหม่-อุดรธานี

 

ทั้งนี้ถึงแม้จำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น แต่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ก็ยังคงปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคฯ อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย,Social Distancing, การทำความสะอาดพื้นที่ให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งการให้บริการเจลและแอลกอฮอล์ ขณะเดียวกันก็รักษามาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ และความปลอดภัยด้านการบิน โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ในการตระเวนตรวจความเรียบร้อยภายในอาคารผู้โดยสารและบริเวณโดยรอบท่าอากาศยาน รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากสายการบินในการช่วยเก็บสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ในเขตการบินที่จะมีผลต่ออากาศยาน (Foreign Object Damage : FOD) ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทั้งในด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยด้านการบิน

รวมพลังคนพร้าวต้านไฟป่า (มีคลิป)

รวมพลังคนพร้าวต้านไฟป่า

ความร่วมมือร่วมใจของคนในพื้นที่ โดยการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง ลาดตระเวนป้องกัน และทำแนวกันไฟตามจุดต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดไฟป่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ปัญหาไฟป่า-หมอกควันใน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ลดน้อยลง
กิจกรรม “Kick off รณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันฯ อ.พร้าว” หนึ่งตัวอย่างการรวมพลังต้านไฟป่า-หมอกควันของภาคีเครือข่าย และคนพร้าว ที่โครงการธรรมชาติปลอดภัย เครือเจริญโภคภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติศรีลานนาและชมรมคนพร้าวรักษ์ป่าได้ร่วมกันสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับผู้นำชุมชนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่หน้าที่ควบคุมไฟป่า รวมทั้งชุมชนอื่นๆ ได้ลุกขึ้นมาปกป้องดูแลผืนป่าต้นน้ำในบ้านเกิด ลดการเผาป่า และช่วยแก้ปัญหาหมอกควันได้อย่างยั่งยืน#รวมพลังคนพร้าวต้านไฟป่า
#ชมรมคนพร้าวรักษ์ป่า
#อุทยานแห่งชาติศรีลานนา
#ธรรมชาติปลอดภัย