คุ้มเสือแม่ริมเชียงใหม่ ทำพิธีไหว้ครูพยัคฆราช รับพลังหนุนอำนาจ เสริมวาสนา สร้างบารมี

ที่ อาณาจักรคุ้มเสือแม่ริม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พลตรี กชกร ไชยบุตร กรรมการผู้จัดการ คุ้มเสือแม่ริม เชียงใหม่ ได้จัดพิธีบวงสรวงและพิธี ไหว้ครูพยัคฆราช (พญาเสือ) ประจำปี 2565 นำพลัง หนุนอำนาจ เสริมวาสนา สร้างบารมีเพื่อแสดงความเคารพและกตเวทีตาคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ ที่ประสิทธิประสาทสรรพ วิชาในการดูแลอภิบาลปกป้องคุ้มครองบรรดาเสือ ผู้ดูแลเสือ รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขโดยมีนางอำไพพรรณ ทับทอง นายกเทศมนตรีตำบลแม่ริม พร้อมทั้ง นายภควัต ขันธหิรัญนายอำภอแม้ริม มาร่วมงานพิธี


โดยอาณาจักรคุ้มเสือ มีเสือนานาชนิดที่เลี้ยงไว้กว่า 200 ตัวมีพญาเสือโคร่ง เสือขาว เสือสีทอง เสือหิมะ เสือซีต้าร์ เป็นแลนด์มาร์คด้านการท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเชียงใหม่


สำหรับพิธีไหว้ครูพยัคฆราช (ไหว้ครูเสือ) เป็นการรื้อฟื้นนำเอาภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมที่สั่งสมองค์ความรู้กันมาหลายชั่วรุ่นเป็นแกนกลางในการจัดพิธีกรรม เพื่อให้อวลไปด้วยความศรัทธา ความยิ่งใหญ่ และสวยงามท่ามกลางวงล้อมของบรรดาเสือโคร่ง

ทั้งนี้สามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตและจิตวิญญาณแห่งอำนาจบารมีเสือโดยมีพิธีฟ้อนบวงสรวงและฟ้อนดาบ พร้อมจัดจุดรับพลังเสือ รวมทั้งมีการครอบครูเสือเพื่อความเป็นสิริมงคลโดยทีมอาจารย์จอมขมังเวทย์มาประกอบพิธีโดยมีผู้มาเข้าร่วมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก


สำหรับพิธีไหว้ครูเสือนี่สามารถพัฒนาไปเป็นกิจกรรมประจำปี ซึ่งบรรจุอยู่ในปฏิทินท่องเที่ยวประจำปีของทางอำเภอแม่ริม และทางจังหวัดเชียงใหม่ในอนาคต

วัดพระธาตุแสงจันทร์วัดร้างกลางป่าดอยสุเทพสวยงามเขียวขจีร่มเย็น มีความรู้สึกเหมือนย้อนยุคเห็นภาพในอดีตกาล

เปิดแหล่งอันซีนเมืองเชียงใหม่ วัดพระธาตุแสงจันทร์วัดร้าง ซ่อนกลางป่าดอยสุเทพสวยงามเขียวขจีร่มเย็น มีความรู้สึกเหมือนย้อนยุคเห็นภาพในอดีตกาล

คนเชียงใหม่แทบจะไม่มีใครรู้ว่า ที่กลางป่าดอยสุเทพในบริเวณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเชิงดอยสุเทพ ใกล้วัดอุโมงค์เถรจันทร์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
มีวัดร้างซากโบราณสถานที่ปกคุมไปด้วยธรรมชาติของป่าสมบูรณ์ บรรยากาศที่เดินเข้าไปร่มเย็นเหมือนกำลังจะเดินทะลุมิติสู่แผ่นดินล้านนาเมื่อหลายร้อยปี

โดยสถานที่แห่งนี้เรียกวัดพระธาตุแสงจันทร์เป็นหนึ่งในวัดร้างอรัญญิกตั้งอยู่บนเนินเขา ของป่าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ นอกเมืองเชียงใหม่ด้านตะวันตก โดยภาพที่เห็นในช่วงฤดูฝนจะพบซากโบราณสถานปกคลุมด้วยมอสเฟิร์นจนพระธาตุกลายเป็นสีเขียวขจีประกอบด้วย เจดีย์ประธานซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยมมีวิหารตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ ของเจดีย์ประธาน วิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทางทิศเหนือเป็นอาคารขนาดเล็ก 2 หลัง มีกำแพงกั้นกลางระหว่างพื้นที่แต่ละส่วนและปรากฏกำแพงแก้วล้อมรอบอาคารทั้งหมด ประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก


สันนิษฐานพบว่าโบราณสถานแห่งนี้น่าจะมีอายุอยู่ในช่วง กลางพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมาและน่าจะมีการปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22-24 สำหรับใครที่มาเที่ยวชมซากโบราณสถานของวัดพระธาตุแสงจันทร์ จะมีความรู้สึกเดียวกันเหมือนตัวเองล่องลอยเข้าไปสู่ยุคล้านนา จะเกิดมโนภาพ เหมิอนเคยเข้ามาร่วมบรรยากาศแบบทะลุมิติที่วัดแห่งนี้และชวนค้นหาว่าในช่วงที่วัดแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองจะมีความงดงามเพียงไร//

นโยบายบำนาญประชาชนผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาทของ พรรคไทยสร้างไทย โดนใจชาวเชียงใหม่แห่ต้อนรับ”สุดารัตน์”เนืองแน่น

ชาวเชียงใหม่ชอบใจ นโยบายบำนาญประชาชนผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาทของ พรรคไทยสร้างไทย โดนใจแห่ต้อนรับ”สุดารัตน์”เนืองแน่น

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 6 ส.ค.26565 ที่ห้องประชุมชั้น 3 โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมคณะได้เดินทางมาเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน จ.ตาก โดยมีชาวเชียงใหม่กว่า 300 คนมาร่วมให้กำลังใจซึ่งในจำนวนนี้มีแกนนำคนเสื้อแดง จำนวนหนึ่งที่แปรพักตร์จากพรรคเพื่อไทย มาร่วมแสดงจุดยืนเคียงข้างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และพรรคไทยสร้างไทย ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก

โดยเฉพาะเมื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เดินทางมาถึงทุกแห่มอบช่อดอกไม้พร้อมป้ายชื่นชมนโยบายบำนาญประชาชนผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาทดลใจมาก พร้อมตะโกนดังก้องห้องประชุมขอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพือประเทศชาติจะได้เดินไปอย่างมั่นคง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ได้ขึ้นแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคเหนือทั้งของเชียงใหม่ ลำพูนและ ตาก พร้อมกับได้กล่าวปราศัยเป็นภาษาคำเมืองผสมภาษาภาคกลางสร้างความชอบใจแก่กองเชียร์เป็นอย่างมากโดยบอกว่าการสร้างพรรคไทยสร้างไทยขึ้นมาเพื่อเป็นให้ประชาชนได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พรรคไทยสร้างไทยยืนอยู่บนประชาธิปไตยเป็นพรรคประชาธปไตยที่ไม่สนับสนุนเผโจการโดยเด็ดขาด และพร้อมจะสร้างทางเลือกใหม่ให้พี่น้องประชาชนโดยเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ผลประโยชน์ผู้มีอำนาจ โดยพรรคมีนโยบายเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นอันดับ1 ผลประโยชน์ขอพรรคเป็นอันดับ2 ประโยชน์ของตนเองเป็นอันดับสุดท้าย หากผู้แทนของพรรคคนไหนทำไม่ได้ก็ให้ไปอยู่พรรคอื่น


**คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้พูกถึงนโยบายที่จะช่วยเหลือในตอนนี้ก็คือความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยทั้งเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งหลังจากที่พบปะพี่น้องแล้วจะลงพื้นที่ไปดูความเดือดร้อนผู้ปลูกลำไยทันที สำหรับนโยบายของพรรคไทยสร้างไทย ที่จะต้องทำในระยะยาวเกี่ยวกับความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นโครงการสานต่อ 30 บาทรักษาทุกโรคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โครงการช่วยเหลือผู้สูงวัยให้ได้รับเงินเดือนละ3,000บาท นโยบายยกเลิกเงินกู้ กยศ.เรียนฟรีตั้งแต่เกิดถึง ป.ตรี เพิ่มเงินเดือน อสม.จาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท และมีศูนย์สุขภาพผู้สูงวัยไปทั่วทุกหมู่บ้าน มีสภาประชาชนทุกหมู่บ้านและยังมีอีกมากมาย การที่ออกมาทำพรรคใหม่มันยุ่งยาก แต่สำหรับตนแล้วถือเป็นความมุ่งมั่นครั้งสุดท้ายที่อยากจะออกจากปัญหาความขัดแย้งของการเมืองสองขั้ว จึงอยากจะมาสร้างพรรคไทยสร้างไทยเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง


สำหรับพื้นที่เขตเลือกตั้ง จ. เชียงใหม่ รายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ทสท.ได้ตัวครบทุกเขต จำนวน 11 เขต โดยเขต.1 ภวฤทธิ์ กาญจนเกตุ เขต.2คุณเอกพล พงษ์พิกุล เขต.3 พรชัย อรรถปรียางกูร เขต.4 ดร.บุญทา ชัยเลิศ เขต.5 วาสนา ทองสุข เขต.6 นพ.แทนคุณ นพรัตน์สังวาลย์ เขต.7 วิชาญ จันทร์พุธ เขต.8 วรโชติ จี้เรือน เขต.9 ปรเมธากร สวนแก้ว เขต.10 ณัชชา โปธายี เขต.11 พตท. อตุลย์ คำมูล

บิ๊กโจ๊ก ตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Safety Zone 4.0 สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมเดินถนนคนเดินสร้างความอบอุ่นนักท่องเที่ยว

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 24 ก.ค.นี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.)ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ของ สภ.เมืองเชียงใหม่ โดยมี พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5และพล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.5ให้การต้อนรับ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประธานชุมชน โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ดูความพร้อมในด้านต่างๆพร้อมกำชับให้มีการประสานกับหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น อบจ.เชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ที่เข้ามาร่วมโครงการSmart Safety Zone 4.0 พร้อมขอความร่วมมือกับชาวบ้านในการติดตั้งกล้องวงจรปิดตามบ้านเรือนโดยให้มีการเชื่อมโยงกับของสถานีตำรวจเพื่อหากเกิดเหตุการณ์ใดทางตำรวจจะได้เข้าที่เกิดเหตุได้อย่างทันท่วงที


หลังจากที่ประชุมและดูผลงานในโครงการSmart Safety Zone 4.0 ของ สภ.เมืองเชียงใหม่ซึ่งมีการทดสอบนำโดรนมาใช้ในโครงการด้วย สามารถบินถ่าพในมุมสูงตามพื้นที่ต่างๆของเมืองเชียงใหม่หากกรณีเกิดเหตุการณ์ต่างๆทางตำรวจสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ทันที


จากนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เดินไปเยี่ยมประชาชนโดยมีถนนคนเดิน มีผู้คนชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศจำนวนมาก ทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เดินทักทายชาวบ้าน ซึ่งต่างก็เข้ามาขอถ่ายรูปและแสดงความอบอุ่นใจพร้อมกล่าวชื่นชมโครงการSmart Safety Zone 4.0ของตำรวจพร้อมขอให้ทำอย่างต่อเนื่องและขยายพื้นที่ไปตามโซนต่างๆด้วย

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวในการมาตรวจเยี่ยมโครงการSmart Safety Zone 4.0 ตามคำสั่งของ ผบ.ตร. ซึ่ง สภ.เมืองเชียงใหม่ก็อยู่จำนวน 100 สถานีตำรวจที่ได้อยู่ในโครงการSmart Safety Zone 4.0 จากการดูในพื้นที่พร้อมกับเดินเยี่ยมประชาชนจะเห็นว่าประชาชนมีส่วนร่วมในโครงการและเข้าใจในเรื่องของพื้นที่ปลอดภัย ดังนั้นจากการดูรายละเอียดต่างๆก็ขอชื่นชมผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงใหม่และทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค5ที่มาร่วมลงในพื้นที่ด้วยกัน จึงขอฝากไว้เรื่องการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลอดภัยให้มากขึ้นการเพิ่มกล้องวงจรปิดให้มากขึ้น ลดพื้นที่เสี่ยงให้น้อยลงการติดตั้งไฟส่องสว่างให้มากขึ้นเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความเชื่อมั่นมีความอุ่นใจซึ่งจากการเดินดูประชาชนก็มีความั่นใจกับโครงการนี้ซึ่งเป็นแนวรุกของ ผบ.ตร.


สำหรับSmart Safety Zone 4.0ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นโครงการตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยการจัดให้มีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุกนำการปราบปราม ซึ่งแนวคิดของโครงการดังกล่าวเกิดจากการผสมผสานแนวคิดเรื่องเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เข้ากับแนวคิดที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัย หรือ Safety Zone ให้เกิดขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกคน โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุกโดยใช้นวัตกรรมและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยดำเนินการจัดให้มีโครงการนำร่องขึ้นก่อน หลังจากนั้นจึงขยายการดำเนินการต่อไปจนครบทุกจังหวัดและพื้นที่สถานีตำรวจทุกแห่ง เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ//

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เชิญชมความน่ารักของสมาชิกใหม่ “ลูกเลียงผา” สัตว์ป่าสงวนของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์

วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ต้อนรับสมาชิกใหม่ “ลูกเลียงผา” สัตว์ป่าหายาก 1 ใน 15 สัตว์ป่าสงวนของไทย จำนวน 1 ตัว พร้อมเชิญชมความน่ารักของสมาชิกใหม่ตัวน้อย ที่ส่วนจัดแสดงซาวันนา ซาฟารี


นายสายสิทธิ์ เจตสิกทัต ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร เปิดเผยว่า เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้สมาชิกใหม่ “ลูกเลียงผา” (Serows) แห่งโซนซาวันนา ซาฟารี จำนวน 1 ตัว เพศเมีย เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เกิดจาก “พ่อตองแปด” และ “แม่ปริฉัตร” ขณะนี้ลูกเลียงผามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง โดยอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ ในส่วนจัดแสดงซาวันนา ซาฟารี และปัจจุบันเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี มีเลียงผาทั้งหมด 6 ตัว นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมความน่ารักของ “ลูกเลียงผา” ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 13.30 – 21.00 น.


“เลียงผา” (Serows) เป็น 1 ใน 15 ชนิดของสัตว์ป่าสงวนของประเทศไทย เป็นสัตว์ที่มีประสาทหู ตา และรับกลิ่นได้ดี เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ประมาณ 1 เมตร ขายาวและแข็งแรง ใบหูยาวคล้ายใบหูลา ขนตามลำตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดำ ด้านท้องขนสีจางกว่า มีขนเป็นแผงยาวบนสันคอและสันหลัง มีเขาทั้งในตัวผู้และตัวเมีย เขามีลักษณะตอนโคนกลม หยักเป็นวงแหวนโดยรอบค่อยๆ เรียวไปทางปลายเขาโค้ง ไปทางด้านหลังเล็กน้อย เลียงผากินพืชต่างๆ ทุกชนิด และผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยใช้เวลาตั้งท้องราว 7 เดือน


ทั้งนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้จัดแสดงโชว์สัตว์ต่างๆตามปกติแต่ ยังคงเน้นย้ำมาตรการความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวสวมหน้ากากอนามัย ขณะเข้าใช้บริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-5399-9000 หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari, LineOA : @nightsafari, Tiktok และ IG : chiangmainightsafariari

อิตัลไทยอุตสาหกรรม มั่นใจตลาดเครื่องจักรกลหนักไทยโตต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย จับมือเอสดีแอลจีแบรนด์ยักษ์จีนเปิดตัวรถขุดรุ่นใหม่ลุยเจาะตลาดก่อสร้าง อุตสาหกรรม และงานเกษตร


อิตัลไทยอุตสาหกรรม มั่นใจตลาดเครื่องจักรกลหนักไทยโตต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย จับมือเอสดีแอลจีแบรนด์ยักษ์จีนเปิดตัวรถขุดรุ่นใหม่ลุยเจาะตลาดก่อสร้าง อุตสาหกรรม และงานเกษตร

อิตัลไทยอุตสาหกรรม ชี้ตลาดเครื่องจักรกลหนักไทยไตรมาส 1 เติบโตขึ้น 25% จากปีก่อน มั่นใจหลังเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายยังมีโอกาสโตต่อเนื่อง จึงจับมือเอสดีแอลจีแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากจีน เปิดตัวรถขุด ขนาด 20-21 ตัน รุ่นล่าสุด SDLG E6205F และ E6210F เล็งเจาะตลาดก่อสร้าง บ่อดิน บ่อทราย อุตสาหกรรม เกษตรกรรม

นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด หรือ ITI ผู้แทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักแบรนด์เอสดีแอลจี ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในส่วนเมกะโปรเจกต์ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ไตรมาส 1 ปีนี้พบว่าตลาดเครื่องจักรกลหนักยังเติบโตขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หากวิกฤตเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลาย คาดว่าผู้ประกอบการจะกลับมาเร่งดำเนินโครงการแบ็คล็อกคงค้างต่างๆ ให้แล้วเสร็จ แต่อาจปรับเปลี่ยนรูปแบบลงทุนตามสภาพเศรษฐกิจ เน้นมองหาสินค้าที่จะช่วยให้คืนทุนเร็วเป็นสำคัญ

ด้วยเหตุนี้ อิตัลไทยอุตสาหกรรม จึงร่วมกับ Shandong Lingong Construction Machinery หนึ่งในสามผู้ประกอบการรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดตัวรถขุดขนาด 20-21 ตัน รุ่นล่าสุด SDLG E6205F และ E6210F รองรับลูกค้า “กลุ่มงานก่อสร้าง อุตสาหกรรมและเกษตรกรรม” ที่เชื่อมั่นว่ายังมีโอกาสเติบโตระยะยาว ปีนี้มูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าด้วยคุณสมบัติของรถขุดทั้ง 2 รุ่นที่มีความคงทน คุ้มค่า ด้วยคุณภาพและราคาที่เหมาะสม จึงน่าจะเป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการบริหารต้นทุนให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

Mr.Shi Dong, Import & Export Co.Vice General Manager บริษัท Shandong Lingong Construction Machinery แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เจ้าของแบรนด์เอสดีแอลจี กล่าวว่า เอสดีแอลจีเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นตลาดใหญ่ของภูมิภาคที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ด้วยเหตุนี้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประเภทรถขุดเพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม เพราะเชื่อว่าจะเข้ามาตอบโจทย์เสริมความต้องการให้กับลูกค้ากลุ่มงานก่อสร้างได้ตรงจุด และการที่มีอิตัลไทยอุตสาหกรรมเป็นพันธมิตรจะยิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เพราะมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่จับมือร่วมกับอิตัลไทยอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 10 ปี

นายสกนธ์ ศรีวรรณวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า การขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์จากเดิมที่มีรถตักล้อยาง รถขุดขนาดเล็ก ขนาดกลาง สู่ รถขุดขนาด 20 ตัน SDLG E6205F และ E6210F ก็เพื่อเพิ่มโอกาสทางการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มงานก่อสร้างทั่วไป งานการทาง งานบ่อดิน บ่อทราย และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรถขุดขนาด 20 ตันคิดสัดส่วนเป็น 50% ของตลาดรถขุดในไทย นอกจากคุณภาพผลิตภัณฑ์แล้วสิ่งที่ทำให้เอสดีแอลจีเหนือกว่าแบรนด์อื่น คือ งานบริการหลังการขายที่มีการรับประกันทุกชิ้นส่วนหลัก รวมถึงงานอะไหล่และซ่อมบำรุงที่พร้อมให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุด ด้วยศูนย์บริการอิตัลไทย เซ็นเตอร์ 15 สาขาครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศไทย อาทิ เชียงใหม่ ชลบุรี อยุธยา ขอนแก่น สุราษฏร์ธานี หาดใหญ่

“อิตัลไทยอุตสาหกรรม วางแผนรุกและขยายตลาดไปยังงานก่อสร้างทั่วไป งานบ่อดิน บ่อทราย ภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานตลาดที่ตรงสำหรับเอสดีแอลจี โดยเน้นไปผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตรงความต้องการของกระบวนการผลิต มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ และต้นทุนการบำรุงรักษาที่จะช่วยลูกค้าบริหารต้นทุนให้คุ้มค่าครบวงจร คาดว่าปี 2565 จะสามารถทำยอดขายรถขุดเอสดีแอลจีทุกรุ่น ประมาณ 200 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 600 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดรถขุดในประเทศไทยประมาณ 3%”

มทร.ล้านนา ลงนามความร่วมมือ บริษัทกรีนเทค โอโซน โซลูชั่น สตาร์ทอัพ BCG Boost up จาก สวทช. พัฒนานวัตกรรมซักอบรีดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

มทร.ล้านนา ลงนามความร่วมมือ บริษัทกรีนเทค โอโซน โซลูชั่น สตาร์ทอัพ BCG Boost up จาก สวทช. พัฒนานวัตกรรมซักอบรีดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้บริการเช่าผ้าแบบ pay per use ตอบโจทย์ธุรกิจโรงแรมเชียงใหม่ กว่า 1,500 ห้องต่อวัน

วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 เวลา 10.30น. ที่โรงแรมอีสทีน เชียงใหม่ ผศ.ดร.จัตตุฤทธิ์ ทองปรอน รักษาราชการแทนอธิการบดี มทร.ล้านนา ร่วมกับ นายภิญโญ สุขทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัทกรีนเทค โอโซน โซลูชั่นจำกัด ได้​จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้ BCG Model(Bio-Circular-Green Economy) โดยมี คุณชัยยศ จินดารัตนะ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชียงใหม่ ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายภิญโญ สุขทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัทกรีนเทค โอโซน โซลูชั่นจำกัด เปิดเผยว่า บริษัท กรีนเทค โอโซน โซลูชั่น จำกัด เริ่มก่อตั้งปี 2558 เป็นธุรกิจให้บริการซักอบรีดให้กับภาคธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันได้เพิ่มการให้บริการเช่าผ้าจ่ายแบบ PAY PER USE เพื่อลดภาระให้กับผู้ประกอบการโรงแรมด้วยทีมวิจัยและพัฒนาที่มี ประกอบกับการสนับสนุนและผลักดันธุรกิจ Start up จากภาครัฐผ่านหน่วยงาน อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาด้านการวิจัยและพัฒนาทางวิชาการและเทคโนโลยีภายใต้ BCG Model ทำให้บริษัทฯมีนวัตกรรมเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เช่น ระบบการซักผ้าด้วยเทคโนโลยีโอโซนไม่ใช้สารเคมีและประหยัดพลังงาน, นวัตกรรมติดตามผ้า(Smart Linen) และบริหารสต็อค, ระบบบำบัดและรีไซเคิลน้ำ, รวมทั้งเทคโนโลยี IOT โดยมุ่งเน้นให้ลูกค้าและสังคมยอมรับและเลือกใช้บริการ เพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน


นายภิญโญ กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯได้เปิดให้บริการในจังหวัดเชียงใหม่ และขยายสาขาการให้บริการในจังหวัดกระบี่(อ่าวนาง-ไร่เลย์) ซึ่งจะแล้วเสร็จเดือนตุลาคมปี 2022 โดยในจังหวัดเชียงใหม่เราดำเนินการสร้างโรงงานซักอบรีดขนาดกำลังการซัก 2 ตันต่อวัน เพื่อรองรับปริมาณลูกค้าโรงแรมที่สนใจหันมาใช้บริการเช่าผ้าแบบ(pay per use)มากกว่า 1,500 ห้องต่อวัน ซึ่งจะทำให้ลดการใช้สารเคมีในการซักผ้าในจังหวัดเชียงใหม่ลงไปถึง 10 ตันต่อปี ลดการใช้น้ำในกระบวนการซักผ้าได้ถึง 3 ล้านลิตรต่อปี ทั้งนี้บริษัทยังมีเป้าหมายขยายพื้นที่ให้บริการให้ครบ 10 สาขาภายในระยะเวลา 5ปี โดยเน้นไปยังจังหวัดท่องเที่ยวหลักที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อลดการปล่อยสารเคมีลงสู่ธรรมชาติและลดการนำเข้าสารเคมีอีกทางหนึ่งด้วย

ทางด้านผศ.ดร.จัตตุฤทธิ์ ทองปรอน รักษาราชการแทนอธิการบดี มทร.ล้านนา กล่าวถึงความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ว่า “โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ดีของมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งโครงการ ที่เป็นการร่วมมือกันกับบริษัท กรีนเทค โอโซน โซลูชั่น จำกัด ในการที่จะนำนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยฯ ที่เกี่ยวข้องกับงานด้าน BCG เอาไปต่อยอดในเชิงธุรกิจ การร่วมมือในครั้งนี้จะสร้างองค์ความรู้ การบริการทางวิชาการ การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย สร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ให้กับชุมชน สังคม การร่วมมือกันระหว่างบริษัท กรีนเทค โอโซน โซลูชั่น จำกัด และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จึงถือเป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมให้เกิดการนำไปใช้อย่างกว้างขวางในประเทศไทย และเชื่อว่าถ้าเราพัฒนาได้จะสามารถนำมาใช้ในภาคพื้นเอเชียได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจที่ทางบริษัทได้จับมือกับทางมหาวิทยาลัย จัดสร้างโครงการนี้ขึ้นมา”

สำหรับความร่วมมือในโครงการนี้ จะมีทั้งการพัฒนากำลังคน นั่นคือนักศึกษาที่จะได้ไปเรียนรู้การปฏิบัติงาน ทั้งทางด้านวิศวกรรม และด้านธุรกิจกับบริษัท กรีนเทค โอโซน โซลูชั่น จำกัด ในขณะเดียวกันทางบริษัทฯเอง ก็จะได้มาฝึกอบรมในด้านวิชาการกับทางมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเราได้จัดหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆ กระบวนการสร้างนวัตกรรม เป็นต้น และอีกส่วนหนึ่งคือ องค์ความรู้ที่เป็นแนวปฏิบัติในด้านการออกแบบ การติดตั้ง และซ่อมบำรุง ซึ่งจะทำอย่างไรให้เป็น Knowhow ร่วมกันของมหาวิทยาลัยฯ และบริษัทฯ รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและการวิจัยใหม่ๆ ซึ่งมองว่าจะเกิดขึ้นกับทาง Eco-Tech และมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเกิดจากการร่วมมือกันในการทำ MOU ครั้งนี้ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีการทำแผนการดำเนินการรวมไปถึงการจัดกิจกรรมในอีกหลายๆ กิจกรรม

รักษาราชการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา กล่าวด้วยว่า โครงการความร่วมมือนี้จะเน้นในภารกิจ 3 ส่วน ได้แก่ การสอน การฝึกอบรม และการวิจัยงานบริการด้าน BCG โดยเน้นเรื่องการวิจัยพลังงานสะอาด รวมไปถึงพลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ อาทิ พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทนจากกังหันลม เทคโนโลยีชีวมวล และเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้แก่ แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า การบำบัดน้ำเสีย การดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ที่สำคัญได้นำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในชุมชน ด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้งานที่เกี่ยวข้องกับ BCG ทางมหาวิทยาลัยฯ มีหน่วยวิจัยระบบพลังงานสะอาด เป็นหน่วยที่พัฒนากำลังคนและองค์ความรู้ทางด้าน BCG model แต่ด้วยยังเป็นเพียงภาควิชาการหรือภาคทฤษฎี ดังนั้นภารกิจสองส่วนในภาคเอกชนและภาควิชาการได้มาจับมือร่วมกัน จะทำให้เกิดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดมาจากแนวคิดของคนไทย เกิดจากสถาบันการศึกษาร่วมกับหน่วยงานเอกชน ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ในด้านการลดต้นทุนในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และเป็น Knowhow ของคนไทยนั่นเอง

นายภิญโญ สุขทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัทกรีนเทค โอโซน โซลูชั่นจำกัด กล่าวเสริมด้วยว่า กิจกรรมนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นการเสริมทัพให้กับบริษัท กรีนเทค โอโซน โซลูชั่น จำกัดเพื่อยกระดับขึ้นไปอีกขั้นนึง การนำองค์ความรู้ต่างๆ ไปต่อยอดเพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้รับสินค้าและการบริการที่เหนือมาตรฐานขึ้นมา ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของบริษัทเรา เช่นกันในมุมมองของมหาวิทยาลัยฯ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็นกองทุน หรืองานวิจัย เพื่อให้สอดคล้องกับ Customer need หรือสิ่งที่ประชาชนต้องการ การคาดหวังกิจกรรมในครั้งนี้จะนำเราก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่ง.

งาน “ไดโนแรพเตอร์ แอนด์ เดอะแก๊งค์ ตะลุยพืชโบราณถิ่นล้านนา” พาทะลุมิติย้อนไปสู่ ยุคครีเทเชียส ตอนต้น 130 ล้านปี ที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์องค์การสวนพฤกษศาสตร์

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 ที่อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นายอิสระ ศิริไสยาสน์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน “ไดโนแรพเตอร์ แอนด์ เดอะแก๊งค์ ตะลุยพืชโบราณถิ่นล้านนา” ร่วมกับ นายสุธี จงอัจฉริยกุล ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณีเขต 1 นายพรชัย หาญยืนยงสกุล กรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ รักษาการผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ พร้อมนายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ และนางอัญชลี กัลมาพิจิตร บุญณราช ภริยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และยังมีตัวแทนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเปิดงาน

โดยการจัดงานในครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือร่วมกัน ระหว่าง องค์การสวนพฤกษศาสตร์ และกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งเป็นการจัดงานครั้งที่ 2 ภายหลังจากที่เคยร่วมกันจัดงาน “ปู่ไดโนเสาร์ ตะลุยพืชโบราณถิ่นล้านนา”เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม 2562 โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับการจัดงานครั้งนี้ มีขึ้นระหว่างวันที่ 3 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ ด้านพฤกษศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา ธรณีวิทยาซากดึกดำบรรพ์ อีกทั้งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับเยาวชนและประชาชนเกิดความรักความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมความรู้คู่ความเพลิดเพลินที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายที่ให้ความรู้คู่ความเพลิดเพลิน ผ่านการเรียนรู้ ได้ปฏิบัติจริงเสมือนเป็นนักธรณีวิทยาและ นักพฤกษศาสตร์รุ่นเยาว์ รู้จักไดโนเสาร์ แรพเตอร์ไทยชนิดใหม่สกุลใหม่ของโลก 3 สายพันธุ์เพลิดเพลินไปกับการขุดค้นกระดูกไดโนเสาร์ เกมส์ไดโนเสาร์ซ่อนแอบ ท้าประลองเต๋าแรพเตอร์ แต้มสีสร้างฝันพืชในจินตนาการ

นอกจากนี้ยังได้สนุกกับการเรียนรู้เรื่องพืชโบราณยุคดึกดำบรรพ์ วิวัฒนาการไม้กลายเป็นหิน วิวัฒนาการของพืชจากอดีตสู่ปัจจุบัน อีกทั้งเพลิดเพลินกับการค้นหาพืชโบราณ ที่ปัจจุบันยังหลงเหลือ ให้เห็น อยู่ภายในพื้นที่จัดแสดงและป่าธรรมชาติภายในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อาทิ ปรง เฟิน สน หวายทะนอย หญ้าถอดปล้อง เป็นต้น

ในครั้งนี้ กรมทรัพยากรธรณี ได้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ในธีม “ไดโนเสาร์แรพเตอร์ไทย ชนิดใหม่สกุลใหม่ของโลก 3 สายพันธุ์” ซี่งเป็นการจัดนิทรรศการครั้งแรกในประเทศไทย โดยนำตัวอย่างชิ้นกระดูกไดโนเสาร์ที่ขุดค้นได้ ทั้ง 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วย 1) ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ ฉายา “จ้าวสายฟ้า” 2) วายุแรพเตอร์ หนองบัวลำภูเอนซิส ฉายา “จ้าววายุ” 3) สยามแรพเตอร์ สุวัจน์ติ ฉายา “จ้าวสลาตัน” พร้อมกับยกขบวนหุ่นจำลองไดโนเสาร์เสมือนจริง จำนวน 24 ตัวมาจัดแสดงภายในงานอีกด้วย

ซึ่งผู้ชมจะได้สัมผัสบรรยากาศตื่นตา ตื่นใจ เสมือนอยู่ในยุคไดโนเสาร์ จูราสสิกปาร์ค อีกทั้งเรียนรู้การขุดค้น สำรวจ และการอนุรักษ์ไดโนเสาร์

บสย. ผนึก ส.อ.ท. ลงนามความร่วมมือ “การสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจ” ผสานกำลัง ขับเคลื่อนประเทศไทย ติดปีกธุรกิจไทยสู่ความอย่างยั่งยืน

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ผนึก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผสานกำลังขับเคลื่อนประเทศไทย ติดปีกธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ร่วมผลักดันและเสริมแกร่งศักยภาพผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบ พร้อมมาตรการการเงินการคลัง ร่วมลงนามความร่วมมือการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจ โดยได้รับเกียรติจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ “การกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทยด้วยมาตรการทางการเงินและการคลัง” พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม


เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติร่วมงาน FTI EXPO 2022 และร่วมเป็นสักขีพยานความร่วมมือ “การสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจ” ระหว่าง บสย. และ ส.อ.ท. โดยขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ “การกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทยด้วยมาตรการการเงินและการคลัง” โดยส่วนหนึ่งของการบรรยายได้กล่าวถึง ในช่วงที่ผ่านมา ได้ออกมาตรการการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ขัดแย้ง ยูเครน-รัสเซีย แล้วรวม 8 มาตรการ คือ


1.มาตรการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV 2.มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซล 3.มาตรการบริหารราคาน้ำมันดีเซล 4.มาตรการขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน 5. มาตรการช่วยเหลือด้านราคาก๊าซ LPG 6.มาตรการประหยัดพลังงานทั้งภาครัฐและเอกชน 7.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมภายในประเทศ 8.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดนิทรรศการและงานแสดงสินค้าในประเทศไทย โดยหลังจากการกล่าวปาฐกถา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามความร่วมมือ “การสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจ” ระหว่าง นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขานรับนโยบายเปิดประเทศร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย สนับสนุนผู้ประกอบการทั้งระบบ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สอดรับกับนโยบายการเปิดประเทศ และการส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งทุน ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นศูนย์กลาง การเชื่อมโยงเงินทุน และโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs” ใน 2 บทบาท
บทบาทแรก การเป็น Credit Enhancer ออกหนังสือค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ใช้แทนหลักประกันในการยื่นกู้กับสถาบันการเงิน เป็นการลดต้นทุนด้าน Credit หรือ Credit Cost


บทบาทที่สอง คือ การเป็นศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน F.A. Center และหมอหนี้ เพื่อให้คำปรึกษาทางการเงิน Financial Literacy ไม่ว่าจะเป็นด้านการขอสินเชื่อ ด้านการพัฒนาธุรกิจ ด้านการปรับโครงสร้างหนี้ และการแก้ไขหนี้ ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ซึ่งที่ผ่านมา F.A. Center ได้ให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือ SMEs ไปแล้วมากกว่า 8,000 ราย นับเป็นความต้องการวงเงินสินเชื่อกว่า 10,000 ล้านบาท
การลงนามความร่วมมือ “การสนับสนุนผู้ประกอบการ ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อการดำเนินธุรกิจ” ระหว่าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ บสย. ในวันนี้ จะเป็นอีกก้าวหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตอบรับการเปิดประเทศ เพื่อผลักดันการเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเป็นผู้ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถรักษาเสถียรภาพของธุรกิจและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จึงเป็นที่มาของโครงการความร่วมมือกับ บสย. โดย บสย. จะสนับสนุนด้านความรู้ทางการเงินและธุรกิจ ดำเนินกิจกรรมให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิก ส.อ.ท. ให้เข้าถึงแห่งทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพยกระดับศักยภาพด้านต่างๆ ได้แก่


การให้คำปรึกษาด้านการเงิน ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A. Center ทั้งด้านการเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อ การบริหารจัดการเงินทุน การปรับโครงสร้างหนี้ และการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีสมาชิกของ ส.อ.ท. ให้ความสนใจรับคำปรึกษาด้านการเงินภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวกว่า 200 บริษัท การอบรมให้ความรู้ “รู้ข้อดีบัญชีเดียว พร้อมตัวช่วย” และ “การวิเคราะห์งบการเงินสำหรับ CEO “ ซึ่งหลังจากนี้จะให้ความร่วมมือในกิจกรรมอื่นๆ ทั้งการช่วยเหลือด้านการค้ำประกันสินเชื่อแก่สมาชิก ส.อ.ท. การพัฒนาธุรกิจด้านต่างๆ อาทิ ด้านการตลาดและเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในกระบวนการผลิต การส่งเสริมและผลักดันสมาชิกสู่ BCG ECONOMY MODEL

รมว.ดีอีเอส เปิดสปอตไลต์ส่องหา UNICORNในงาน CHIANGMAI WEB3 CITY AND METAVERSE

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐ วรยศ รองอธิการบดี – เทคโนโลยีดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ,นางสมจิตต์ ธีระชุติกุล รองกรรมการ-ผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและปฏิบัติการลูกค้า 2 และรักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและปฏิบัติการลูกค้า 3 และนายธนากร ทองใบ ผู้จัดการฝ่ายงานขายและปฏิบัติการลูกค้าเขตเหนือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT

ร่วมเปิดงาน CHIANGMAI WEB3 CITY AND METAVERSE เพื่อเสริมสร้างและส่งเสริมความร่วมมือระดับประเทศในการร่วมกันนําเทคโนโลยี Web3.0 และ Blockchain มาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาเมือง ณ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โดยมีการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิในหัวข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนําเทคโนโลยี Web3.0 มาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาเมือง อาทิ Web3 : Infrastructure Perspective, Web3 Digital Platform กับการพัฒนาเมืองด้วยความมีส่วนร่วมภาคประชาชน (DAOs), การประยุกต์ใช้ Metaverse & Wallet กับภาคธุรกิจ//