งานเปิดตัว LOVE OK CLICK 96.75 MHz ปีที่ 9 และศูนย์บริการรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานไฟฟ้า โตโยตรอน

น.ส.นัทฤทัย ทวีฤทธิ์กุล กรรมการผู้จักการบริษัทคลิกวันสเตชั่น จำกัด ได้จัดงานเปิดตัว LOVE OK CLICK 96.75 MHz ปีที่ 9 และศูนย์บริการรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานไฟฟ้า โตโยตรอน ในสถานที่ตั้งใหม่ สี่แยกหนองหอย หน้าหมู่บ้านศิริวัฒนานิเวศน์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ดร.โอกาส เตพละกุล ประธานกรรมการบริษัท โตโยตรอนมอเตอร์ จำกัด และกรรมการบริหารบริษัท ฮาโกเน่ คาเฟ่ เป็นประธานในพิธี เปิดตัว

ภายในงานได้มีพิธีลงนามจอง E-TUK TUK (ตุ๊ก ตุ๊ก 3 ล้อไฟฟ้า) ณ อาคารโตโยตรอน โดยมีสมาชิกและที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของสหกรณ์สามล้อเครื่องนครเชียงใหม่ จำกัด นายประเสริฐ โสภานะ ลงนามทำสัญญาสั่งทำ ตุ๊ก ตุ๊ก 3 ล้อ ไฟฟ้าโตโยตรอน 1 คัน เพื่อใช้วิ่งบริการผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว ในเมืองเชียงใหม่ เพื่อลดมลภาวะตามนโยบายของรัฐบาล

 

รองแม่ทัพภาคที่ 3 ประชุมผู้ว่าฯ 9 จังหวัดภาคเหนือ บังคับใช้กฎหมายห้ามเผาป่าเด็ดขาด

รองแม่ทัพภาคที่ 3 กำชับผู้ว่าฯ 9 จังหวัดภาคเหนือ บังคับใช้กฎหมายห้ามเผาป่าเด็ดขาด โดยตั้งกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ พร้อมระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าแก้ไขอย่างเร่งด่วนแบบไม่แบ่งแยกพื้นที่

เมือ เวลา 10.00 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ นี้ที่ สโมสรค่ายกาวิละ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พลตรีบัญชา ดุริยพันธ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานการแถลงแนวความคิดในการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เข้าร่วมประชุม ซึ่งรัฐบาลได้ให้กองทัพภาคที่ 3 จัดตั้งกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้าขึ้น เพื่อบูรณาการร่วมกันในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงในแต่ละพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อบริหารจัดการกำลังและยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ของแต่ละหน่วยงานให้เกิดความสอดคล้องอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด พร้อมทั้งระดมแนวความคิดในการปฏิบัติของแต่ละภาคส่วน โดยใช้กรอบแนวความคิดในการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงใหม่ กำหนดมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละอองเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งได้กำหนดช่วง 61 วัน ห้ามเผาเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2562 แต่หลังจากปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จึงได้ประกาศงดการชิงเผาอย่างเด็ดขาด ห้ามเผาทุกกรณี ทุกพื้นที่ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น พร้อมกำชับให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่เผาในที่โล่งหรือพื้นที่ป่าอย่างเข้มงวด รวมทั้งระดมทุกภาคส่วนทำความสะอาดถนน และฉีดพ่นน้ำสร้างความชุ่มชื้น ตั้งแต่เวลา 05.00 – 06.30 น. และ 14.00 – 15.30 น. บริเวณรอบคูเมืองทุกวัน ขณะเดียวกันยังได้กำชับให้แหล่งกำเนิดมลพิษฝุ่นละอองและฝุ่นควันทั้งบนพื้นถนน ทั้งการก่อสร้างอาคาร การประกอบกิจการอุตสาหกรรมโรงงาน และการประกอบกิจกรรมต่างๆ ต้องไม่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองแพร่กระจาย

 

ด้าน พลตรีบัญชา ดุริยพันธ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 9 จังหวัดภาคเหนือ เข้มงวดกับการบังคับใช้กฎหมาย และย้ำให้ อปท. ผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการสอดส่องดูแลห้ามมีการเผาทุกชนิดอย่างเด็ดขาด ไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นวิถีชีวิตมาตั้งแต่อดีต ซึ่งสมัยก่อนกับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน ขณะเดียวกัน ได้ระดมกำลังทหารมาปฏิบัติงานในชุดปฏิบัติการดับไฟป่า และการใช้อากาศยาน (ฮ. MI 17) เพื่อดับไฟป่าในพื้นที่ที่ลำบาก ไม่สามารถใช้เจ้าหน้าที่เข้าไปได้ ซึ่งเป็นการบูรณาการกันระหว่างตำรวจ ทหาร และภาคประชาชน จะมาแบ่งเป็นจังหวัดไม่ได้แล้ว โดยทหารได้นำกำลังกว่า 500 นาย รวมทั้งยุทโธปกรณ์ ยานยนต์ และอุปกรณ์ดับไฟป่า มาช่วยในแต่ละพื้นที่ที่มีปัญหาหมอกควันไฟป่า โดยเฉพาะดอยพระบาทในจังหวัดลำปางที่จะลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เมื่อแก้ปัญหาให้คลี่คลาย แล้วจะประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับช่วงต่อ แล้วจะย้ายไปลงพื้นที่อื่นที่ประสบปัญหาหมอกควันไฟป่า เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์โดยการติดตามประเมินผลตามห้วงเวลาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที

 

โดยห้วงเดือน มกราคม – เมษายน ของทุกปี ภาคเหนือตอนบนต้องเผชิญปัญหาหมอกควันเป็นประจำทุกปี ซึ่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562ที่ผ่านมา มีค่าจุด Hotspot มากที่สุดในห้วงวันที่ 8-10กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ปัจจัยสภาพภูมิประเทศ เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะและมีภูเขาล้อมรอบ ปัจจัยที่สองคือปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา เนื่องจากอากาศนิ่ง ลมสงบและความกดอากาศสูง ทำให้เอื้ออำนวยต่อการกักตัวของมลพิษ และปัจจัยที่สาม คือ การกระทำของมนุษย์ อาทิ การเผาในที่โล่ง การเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ และเก็บของป่าเพื่อนำมาขาย

โดยการดำเนินแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ผ่านมา ได้ใช้มาตรการต่างๆ เป็นแนวทางให้กับหน่วย ในพื้นที่ได้ไปดำเนินการ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยการรณรงค์ สร้างจิตสำนึก การมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาชน รวมทั้งการร่วมมือกันระหว่างประเทศ แต่เนื่องจากสถานการณ์หมอกควันในห้วงนี้ มีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองทัพภาคที่ 3 ได้จัดตั้ง กองบัญชาการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่3 ส่วนหน้า ขึ้น เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562เพื่อบูรณการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแก้ไขปัญหาเชิงประจักษ์ รวมทั้งวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงที่ต้องเพ่งเล็ง เพื่อจัดกำลังและยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ ของแต่ละหน่วยงาน ให้เกิดความสอดคล้องอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด พร้อมทั้งระดมแนวความคิด ในการปฏิบัติของแต่ละภาคส่วน โดยมีกรอบแนวความคิดในการควบคุมสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ดังนี้ปฏิบัติแยก โดยการดำเนินการเป็นพื้นที่จังหวัดพื้นที่ 2 ข้างทาง (ทางหลวง) : กรมทางหลวงพื้นที่ 2ข้างทาง (ทางหลวงชนบท) : กรมทางหลวงชนบทพื้นที่ป่าไม้ และป่าสงวน : สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้พื้นที่ป่าอนุรักษ์: สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ทำกิน: ผู้เข้าใช้ประโยชน์
พื้นที่สาธารณะ/ชุมชน/หมู่บ้าน: ท้องที่/ท้องถิ่น

โดยมีมาตรการหลัก กำหนดห้วงเวลาห้ามเผาเด็ดขาด, หน่วยดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (ยึดคืนที่ดินทำกิน),มุ่งเน้น พื้นที่เร่งด่วน คือ จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดลำปาง สำหรับมาตรการรอง : ด้วยการบูรณาการหน่วยงานหลักในพื้นที่ (จว./กอ.รมน.จังหวัด, ภ.จว. และ กกล.รส.จว.),การเฝ้าติดตาม/ตรวจสอบ พื้นที่ โดยหน่วย รส.ประจำอำเภอ,ประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการในพื้นที่อำเภอเข้าดำเนินการแก้ไข,มาตรการเสริม : กรณีตรวจพบพื้นที่ไฟไหม้เกินขีดความสามารถใช้กำลัง ร้อย.ทพ./กกล.รส.จว. ที่จัดเตรียมไว้เข้าพื้นที่ ดับไฟ,ใช้ ฮท. ๑๗ (MI 17) ยกหิ้วน้ำ เข้าพื้นที่ ทิ้งน้ำ, ใช้ เครื่องบินทหารอากาศโปรยละอองน้ำในอากาศ, ประสานศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือในการเข้าทำฝนเทียม,ประสาน ปภ.เขต สนับสนุนในพื้นที่วิกฤติทั้งนี้เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์โดยการติดตามประเมินผลตามห้วงเวลาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที

ตำรวจทหารล้างเครือข่ายยานรกเชียงดาว

เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ค่ายพิชิตปรีชากร อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พล.ต.ท. ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส.ได้บูรณาการกำลัง ของตำรวจปราบปรามยาเสพติด ปปส. ทหารกองกำลังผาเมือง ตำรวจภูธรเชียงดาว กองร้อยอาสารักษาดินแดนชียงดาว จำนวนทั้งหมด325 นาย ได้แบ่งกำลังเป็น 7 ชุดปฎิบัติการ เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นและยึดทรัพย์กลุ่มขบวนการเครือข่ายยาเสพติดและฟอกเงินที่ ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่โดยเข้าตรวจค้นพร้อมกัน 23 จุด และเน้นเป้าหมายสำคัฯทั้งหมด 7 จุด เพื่อเป็นการปราบปราบขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่จากชายแดนใกล้แหล่งผลิตและลักลอบลำเลียงจากนอกประเทศเข้าสู่ชั้นใของประเทศไทย ซึ่งได้ทำกันเป็นขบวนการ

โดยเป้าหมายสำคัญมีเป้าหมายที่1 นส.บังอร เลาจาง 197 หมู่7ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.ชียงใหม่ เป้าหมายที่ 2 นายทนงศักดิ์ ภูริบริบูรณ์ บ้านเลขที่134 หมู่7 ต.ปิงโค้ง เป้าหมายที่ 3 นายธวัชชัย เลาจางบ้านเลขที่ 395 หมู่7 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป้าหมายที่ 4 นายปิยะ เลาหาง บ้านเลขที่ เ51 หมู่7 ต.ปิงโค้งเป้าหมายที่ 5 นายปิยะ เลาหาง ไม่มีเลขที่บ้าน หมู่7 ต.ปิงโค้ง เป้าหมายที่ 6 นางลี่ เลาจาง อายุ 52ปี บ้านเลขที่189 หมู่7 ต.ปิงโค้ง เป้าหมายที่ 7 นายมังกร ภูริบริบูรณ์ บ้านเลขที่ 48/2 หมู่7 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ทางตำรวจได้ใช้กฎหมายยาเสพติดทำการยึดบ้านและที่ดินพร้อมรถยนต์รถจักรยานยนต์ไว้ พร้อมทองรูปพรรณจำนวนหนึ่งไว้

ต่อมาเมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 11 ก.พ.นี้ค่ายพิชิตปรีชากร อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส. พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พล.ต.ต.รุ่งสุริยา เผือกประพันธ์ ผบก.ตชด.ภาค 3และ พร้อมฝ่ายทหารนำโดย พล.ต.วิชิต วงศ์สังข์ ผบ.กองกำลังผาเมืองและพ.อ.อาจิณ ปัทมจิตร ผบ.ฉก.ม.5 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รอง ผวจ.เชียงใหม่ พร้อมฝ่ายปกครอง อ.เชียงดาว ได้ร่วมกกันแถลงข่าวผลการปิดล้อมตรวจค้นและยึดทรัพย์กลุ่มขบวนการเครือข่ายยาเสพติดและฟอกเงินใน อ.เชียงดาว โดยได้นำของกลางทรัพย์สินที่ยึดได้ และยาเสพติดยาบ้าจำนวน 7.3 ล้านเม็ด ไอซ์จำนวน 100 กิโลกรัม พร้อมรถยนต์กระบะโตโยต้า สีเทา ทะเบียน1ฒฒ 3979 กทม. พร้อมจับกุมผู้ต้องหา มีนายวีรชาติ คำวิลาส อายุ 36 ปี และ น.ส.อมรา รุ่งเรือ อายุ 31 ปีที่จับกุมได้ที่ ปั้ม ปตท.หมู่ 1 ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง เมื่อเวลา 05.00 น.วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยขนมาจาก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่นำมาแถลงข่าว โดยกลุ่มที่ถูกขยายผลการจับกุม 7 เป้าหมายใหญ่เป็นเครือญาติในกลุ่มเครือข่ายชนเผ่า กันทั้งสิ้นโดยแบ่งหน้าที่กันเป็นฝ่ายการเงิน จัดหา ลำเลียง ถือครองทรัพย์สิน และฟอกเงิน ทำกันเป็นระบบ

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร ได้เผยว่าการขยายผลการตรวจค้นในครั้งนี้มาจากการจับกุมยาเสพติดจำนวน 7.3 ล้านเม็ด และไอซ์ 100 กิโลกรัม พร้อมผู้ต้องหา 2 คน ที่ปั้ม ปตท.หมู่ 1 ต.พระบาท จ.ลำปาง จนมีการขยายผลต้นตอมาจาก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 11 ก.พ.จึงได้บูรณากำลังเข้าทำการขยายผลปิดล้อมบ้านเครือข่ายของยาเสพติดใน หมู่บ้าน หมู่ 7 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว พร้อมขยาลผลการยึดทรัพย์ และควบคุมตัวมาดำเนินการสอบสวนขยายผลดังกล่าว

พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภ.5 ได้เผยว่าสำหรับนนางหลี่ เลาจาง อายุ 50 ปี ชาวเขาเผ่าม้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ วันนี้ ได้ทำการยึดบ้านจำนวน 2 หลังไว้พร้อมควบคุมนำมาสอบสวนขยายผล โดยที่ข้างบ้านหลังใหญ่ที่ถ้ำอยู่น่าจะใช้เป็นที่ซุกซ่อนยาเสพติดโดยนางหลี่ได้ให้การปฎิเสธไม่ได้ค้ายาเสพติด ซึ่งตัวนายบันเทิง แซ่ตั้ง สามีใหม่ เป็นคนค้า และยังมีลูกสาวชื่อนางบังอร เลาจาง ที่เป็นตัวการใหญ่ของเครือข่ายที่ยังหลบหนีอยู่ สำหรับตัวนางหลี่ เลาจาง เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 28 ส.ค. 61 ตนถูกคนร้าย 5 คน หลอกให้มาคุยกันเรื่องเงินที่บ้านปางเปา อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ หลังออกมาพบ ก็ถูกคนร้ายล็อกคอ แล้วอุ้มขึ้นรถ โดยไม่ทราบว่าไปที่ไหน เพราะคนร้ายได้ใช้ผ้าปิดตา และมัดมือไพล่หลังเอาไว้โดยกลุ่มคนร้ายได้ติดต่อกับลูกชายให้เอาเงิน 25 ล้านบาทมาไถ่ตัว ระหว่างนั้นทางญาติ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อวางแผนจับกุมกลุ่มคนร้าย โดยวางแผนให้ญาติ ติดต่อคนร้ายต่อรองให้เหลือเงิน 22 ล้านบาท คนร้ายจึงตอบตกลง และได้นัดรับเงินกันในพื้นที่ของ สภ.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดยนัดรับเงิน เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 4 ก.ย. 61 ที่ผ่านมาสำหรับ นางหลี่ เลาจางมี ลูกสาว คือ นางสาวบังอร เลาจาง อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ที่เคยถูกจับไปแล้วประมาณ 7 คดีใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นบิ๊กลอตทั้งหมด ซึ่ง ขณะนี้ นางสาวบังอร ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งทั้งตระกูลเลาจาง ทางชุดสกัดกั้น บช.ปส. และตำรวจภูธรภาค 5 นั้น เคยจับเครือข่ายมาแล้ว และทุกครั้งก็จะมีการเชื่อมโยงถึงกันหมด

มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ ครั้งที่ 43 เชียงใหม่ยิ่งใหญ่สวยงาม ตระการตา

เชียงใหม่ปิดเมืองจัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ ครั้งที่ 43ยิ่งใหญ่สวยงาม ตระการตา โดยเมื่อเวลา 08.00น. วันที่ 2 ก.พ.นี้ ที่บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ จะมีการปล่อยขบวนแห่รถบุปผชาติจำนวน 21 ขบวน ตกแต่งด้วยดอกไม้สดริ้วขบวนแต่ละคนขบวนมีสวยงาม และในแต่ละขบวนมีการแสดงทางวัฒนธรรมล้านนามีการประกวดขบวนรถบุปผชาติชนะเลิศชิงถ้วยพระราชสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

โดยมีนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผวจ.เชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด ท่ามกลางนักท่องเที่ยวหลายพันคนมารวมชมขบวนแห่ที่จะออกจากเชิงสะพานนวรัฐไปตามถนนท่าแพ ถนนคชสาร ถนนราชเชียงแสนและถนนช่างหล่อระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามตามเส้นทางที่ขบวนเคลื่อนผ่านจะมีการตกแต่งดอกไม้อย่างสวยงาม จนไปสิ้นสุดสถานที่จัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับที่สวนสาธารณะหนองบวกหาด ที่มีการตกแต่งสวนอย่างสวยงามเช่นกัน

เทศบาลนครเชียงใหม่”รณรงค์ตลาดสะอาด อาหารปลอดภัย เทศกาลตรุษจีน”

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 ณ ตลาดวโรรส นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดกิจกรรม “รณรงค์ตลาดสะอาด อาหารปลอดภัย เทศกาลตรุษจีน” ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อเฝ้าระวัง และตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารในแหล่งจำหน่ายผัก ผลไม้และอาหารที่นิยมใช้เทศกาลตรุษจีน รวมทั้งสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยของอาหารให้แก่ประชาชนชาวเชียงใหม่และผู้มาเยือน

 

ซึ่งเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายด้านอาหารปลอดภัย ตลาดวโรรส ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่ ปศุสัตว์อำเภอเมืองเชียงใหม่ ชมรมตลาดสดน่าซื้อจังหวัดเชียงใหม่ มีกิจกรรมตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร ผัก ผลไม้ และตรวจเลือดหาสารเคมีตกค้างแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมและมอบส้มมงคลแก่ผู้ร่วมงาน


เทศกาลตรุษจีน เป็นเทศกาลสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนที่จะจับจ่ายซื้ออาหารและผลไม้ เพื่อใช้ประกอบในพิธีไหว้บรรพบุรษ การเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพและปลอดภัย ถือเป็นเรื่องสำคัญ ตลาดจึงเป็นแหล่งรวมอาหาร สินค้าทุกประเภทที่จะนำมาใช้ในเทศกาลตรุษจีน และต้องมีการควบคุมมาตรฐานให้มีความสะอาด ปลอดภัย และมีคุณภาพ

งานมหกรรมผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าแม่แจ่ม ครั้งที่ 26

อำเภอแม่แจ่ม เตรียมพร้อมจัดงานมหกรรมผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าแม่แจ่ม ครั้งที่ 26 ประจำปี 2562 อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่าง 1 – 5 ก.พ. นี้ โดยจะนำผ้าตีนจกที่หาดูได้ยากมาอวดโฉมให้แก่นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 2 ล้านบาท

นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ นายอำเภอแม่แจ่ม เปิดเผยถึง ความพร้อมในการจัดงานมหกรรมผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าแม่แจ่ม ครั้งที่ 26 ประจำปี 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของอำเภอแม่แจ่ม และสืบทอดศิลปะ มรดกทางวัฒนธรรมล้านนา อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่น ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของผ้าตีนจก และผ้าทอชนเผ่า ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษนับร้อยปี รวมทั้งเป็นการส่งเสริมอาชีพของประชาชนให้มีรายได้สูงขึ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอแม่แจ่มให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ตามคำขวัญของอำเภอแม่แจ่ม “เที่ยวบ่อน้ำแร่ ล่องแพแม่แจ่ม พักแรมน้ำตก ผ้าตีนจกยอดน้ำมือ”


สำหรับ การจัดงานครั้งนี้ มีกิจกรรมภายในงาน เช่น นิทรรศการ การประกวดถ่ายภาพ “Memory in Maejam” , การประกวดผ้าตีนจก , การประกวดผ้าชนเผ่า , งานขันโตก , เดินแฟชั่นโชว์การกุศล , กาดหมั้วคัวฮอม , การออกร้านที่ได้นำเอาผลิตภัณฑ์ผ้าตีนจกและผ้าชนเผ่ามาให้เลือกสรร และการจัดกิจกรรมสืบสานภูมิปัญญาของแม่แจ่มอีกมากมาย

โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ร่วมงานมหกรรมผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าแม่แจ่ม ครั้งที่ 26 โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 5 กุมภาพันธ์ 2562 ณ บริเวณลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งปีนี้คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าภายในงานได้กว่า 2 ล้านบาท

“ชูชาติ กัลมาพิจิตร”พ่อเลี้ยงปางช้างแม่สา สิ้นแล้ว

สิ้นแล้ว พ่อเลี้ยงชูชาติ กัลมาพิจิตร เจ้าของปางช้างแม่สา ด้วยวัย 79 ปี ได้เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพัก ด้วยโรคประจำตัว เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.วันที่ 27 มกราคม 2562 หลังจากที่ พ่อเลี้ยงชูชาติ ได้นอนรักษาตัวมานานร่วมเดือน ทางญาติเห็นว่าท่านต้องการกลับมานอนรักษาตัวที่บ้านพัก จึงได้นำออกจากโรงพยาบาลกลับมาและท่านก็อำลาโลกอย่างสงบ

ย้อนรำลึกถึงอดีตความเป็นมาของ พ่อเลี้ยง ชูชาติ กัลมาพิจิตร เดิมเป็นชาวกรุงเทพมหานคร แต่ได้เดินทางมาประกอบอาชีพที่จังหวัดเชียงใหม่พร้อมกับบิดาในปี พ.ศ. 2500 ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 18 ปี ได้มาประกอบอาชีพทำเหมืองแร่ที่ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม แต่ไม่ ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร จึงได้เปลี่ยนไปทำสวนส้มโดยทำการซื้อที่ดินที่ตำบลโป่งแยง ทำสวนส้มแต่ราคาส้มตกลงไม่ประสบความสำเร็จ

จนเมื่อปี พ.ศ. 2518 พ่อเลี้ยงชูชาติ ได้ขายสวนส้ม ไปทำกิจการรีสอร์ทที่มีชื่อว่า “เอราวัณรีสอร์ท”ขึ้นน่าจะเป็นแห่งแรกของเชียงใหม่ที่อยู่บนดอยแม่ริม แต่ต้องพบอุปสรรคใหญ่เพราะเส้นทางที่จะเข้าไปยังรีสอร์ต ถนนหนทางไม่สะดวกยิ่งในหน้าฝนแทบขึ้นไม่ได้เลยจึงทำให้มีนักท่องเที่ยวมาน้อยมาก จนไม่สามารถจะดำเนินการต่อไปได้ จากการเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมท้อถอยต่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ ทางพ่อเลี้ยงชูชาติ จึงขายกิจการ รีสอร์ตทิ้ง และหันมาทำปางช้างแม่สา”วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2519

โดยเริ่มจากการขอเช่าพื้นที่จำนวน 30 ไร่เศษ บริเวณหมู่บ้านแม่แมะ จากกองพันสัตว์ต่าง ซึ่งเคย เป็นปางช้างเก่าอยู่แล้วและขอเช่าช้างจาก คนกะเหรี่ยงที่อำเภอสะเมิงมา 5-6 เชือก พร้อมกับควาญช้างโดยพ่อเลี้ยงชูชาติ ต้องทำการตลาดเอง โดยไปติดต่อร้องขอจากพวกไกด์จากบริษัททัวร์จากโรงแรมรถไฟ จากคนขับรถแท๊กซี่ตามสถานีรถไฟ เพื่อให้นำนักท่องเที่ยวเข้ามาชมช้างโดยวันๆหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมแค่วันละ 10 คนเท่านั้น แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้เดินหน้าสู้ทุกอย่างเพื่อให้ปางช้างแม่สาเกิดขึ้นมาให้ได้ ผลก็คือค่อยประสบความาสำเร็จจากนักท่องเที่ยวมาดูวันละ 10 คน เริ่มเป็นวันละ 20 คนและเพิ่มปริมาณขึ้นในทุกๆวันจนบริษัททัวร์ทุกแห่งของเชียงใหม่ วิ่งเข้ามาหาเอง

จากช้างที่มีอยู่แค่ 7 เชือกเพิ่มปริมาณขึ้นในทุกๆปี ชื่อเสียงของปางช้างแม่สา ก็เริ่มกระจายไปทั่วโลก มีผู้นำหลายประเทศมาเยี่ยมชมการแสดงช้างโชว์ ได้เลี้ยงช้างและอยู่กับช้าง ชมความน่ารักของลูกช้างและช้างแสนรู้ จนล่วงเลยมาถึง 40 ปี จนปัจจุบัน ปางช้างแม่สามีช้างทั้งหมดกว่า 80 เชือกเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ และได้มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้ปางสาแม่สา พัฒนาต่อๆไป

พ่อเลี้ยงชูชาติได้ใช้ชีวิตผูกพันกับช้างมาตลอดอายุขัย โดยในแต่ละปีจะจัดงานวันช้างไทย ที่ปางช้างแม่สา มีการเลี้ยงสะโตกช้างที่ใหญ่ที่สุด และมีพิธีบายศรีสู่ขวัญช้างที่มีอายุมาก เป็นการให้ความใส่ใจต่อสุขภาพและ ความเป็นอยู่ของช้างมาโดยตลอดจน“ปางช้างแม่สา” เป็นปางช้างแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับมาตราฐาน ISO 9001 VERSION 2008 ซึ่งการจากไปของ พ่อเลี้ยงชูชาติ กัลมาพิจิตร ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในวงการของผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับช้าง

 

 

ซึ่งท่านพ่อเลี้ยงชูชาติ มีความรักและผูกพันกับช้าง และสร้างให้ ปางช้างแม่สา โด่งดังไปทั่วโลก การจากไปของท่านจึงเป็นการสูญเสียบุคลากรคนทำงานเพื่อช้างที่ยิ่งใหญ่ สร้างความสุขความร่มเย็นให้กับช้างและคนเลี้ยงช้างให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกัน..ขออำลาอาลัย “พ่อเลี้ยงชูชาติ กัลมาพิจิตร “ผู้สร้างตำนานปางช้างแม่สา เป็นตำนานคนเลี้ยงช้างผู้ยิ่งใหญ่และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว”กัลมาพิจิตร”คนรักช้างในการสูญเสียในครั้งนี้

งานวิ่ง ‘สิงห์ขาว ชาเลนจ์รัน 2019’ ชิงโล่ประทาน พระองค์ภาฯช่วยเด็กยากไร้ ลั่นยกระดับเป็นงานอีเว้นท์วิ่งอันดับต้นของประเทศ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 28 มกราคม 2562 ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) สมาคมศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มช. แถลงข่าวการจัดงานวิ่งการกุศล โครงการ ‘สิงห์ขาว ชาเลนจ์รัน’ (SINGHAKAO CHALLENGE RUN 2019) ชิงโล่รางวัลประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ระดมทุนถวายเพื่อใช้ในโครงการฯ ตามพระราชอัธยาศัย และเพื่อใช้โครงการสาธารณกุศลอื่นๆของทางสมาคมฯ งานวิ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม 2562 ที่ ศาลาอ่างแก้ว ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะที่ปรึกษาการจัดงานสิงห์ขาวชาเลนจ์รัน นางรัตนประภา ดิศวัฒน์ ประธานการจัดงานฯ พร้อมคณาจารย์ และศิษย์เก่าคณะฯ ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

นางรัตนประภา กล่าวว่า ที่มาของการจัดงาน มองว่า กิจกรรมการวิ่งเป็นกีฬาที่ทรงพลัง ให้คนก้าวออกมาท้าทายและอยากเอาชนะ(ชาเลนจ์)ตัวเอง ไม่หยุดพัฒนาศักยภาพ จากวิ่งไม่ได้เป็นวิ่งได้ วิ่งได้อย่างช้าๆเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่าท้อแท้ที่จะเอาชนะทุกอุปสรรค ทุกข้อจำกัด ทุกข้อปัญหา เพื่อทำให้สำเร็จ มุ่งพัฒนาทำสิ่งดีๆให้สังคมอย่างเต็มความสามารถ เหมือนกับสปิริตของพวกเราชาวสิงห์ขาวที่ปลูกฝังกันมาทุกรุ่น ทีมงานจึงหยิบเอาเรื่อง “ความมุ่งมั่น ท้าทาย ก้าวข้ามทุกอุปสรรค” มาเป็น คอนเส็ปต์ของงานวิ่ง SINGHAKAO CHALLENGE RUN 2019 ครั้งนี้ ในส่วนของโลโก้ ของงาน เราพัฒนามาจากชื่อ และสัญลักษณ์ของคณะ ให้อารมณ์เหมือนสิงห์ขาวกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า เปรียบเสมือนทุกคนที่กำลังก้าววิ่ง พร้อมเผชิญกับทุกอุปสรรคที่รออยู่ และพร้อมที่จะทำลายอุปสรรคนั้นด้วยกายและใจที่เต็มร้อย โดยเลือกสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำคณะ

 

“งานวิ่ง ‘สิงห์ขาวชาเลนจ์รัน 2019’ มีเส้นทางวิ่ง 2 ระยะ คือ ประเภท ฟันรัน 4.84 กิโลเมตร. และ ชาเลนจ์รัน 12.48 กิโลเมตร เส้นทางวิ่งฟันรัน ใช้เส้นทางภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นส่วนใหญ่ เริ่มรวมพลที่ข้างศาลาอ่างแก้ว จากจุดสตาร์ทข้างศาลาธรรมมุ่งหน้า แล้วเลี้ยวซ้ายทางตามถนน บริเวณเสาธง จนถึงจุดจอดรถไฟฟ้า เลี้ยวซ้ายไปตามสนามรักบี้ จากนั้นวิ่งเลียบไปตามเส้นทางขนานรั้ว ผ่านภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ผ่านหมู่บ้านไผ่ล้อม จนถึงสนามเทนนิส จากนั้นเลียบตามทางไปผ่านหน้าหอ 40 ปี เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าถึงโรงพยาบาลสัตว์เล็ก ณ จุดนี้จะพบจุดบริการน้ำดื่มจุดแรก เลี้ยวขวาผ่านสนามกีฬากลาง สระว่ายน้ำรุจิรวงค์ มุ่งหน้าสู่หอนาฬิกา เลี้ยวขวามุ่งหน้าไปทาง อมช. ลงเนินมา วิ่งต่อมาจะผ่านคณะรัฐศาสตร์ จากนั้นมุ่งหน้าผ่านไปทางขึ้นอ่างแก้ว ผ่านหน้าธนาคารกสิกรไทย บริเวณหน้าคณะมนุษยศาสตร์ มีจุดบริการน้ำที่2 ก่อนที่จะวิ่งขึ้นเนิน เพื่อเลี้ยวเข้าอ่างแก้ว ณ จุดนี้นักวิ่งฟันรันเมื่อพ้นสันอ่างให้เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัยไปก่อน”

 

 

นางรัตนประภา กล่าวต่อว่า ส่วนวิ่งชาเลนจ์รัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเส้นทางวิ่ง 3 อ่าง ที่ยังไม่เคยมีการจัดมาก่อน ใช้เส้นทางวิ่งช่วงแรกเหมือนฟันรัน แต่จะวิ่งต่อ โดยวิ่งวนไปด้านในอ่างแก้ว วนออกมาด้านข้างคณะนิติศาสตร์ เลียบอ่างตาดชมพู ผ่านหน้าคณะการสื่อสารมวลชน ตรงด้านหน้าตลาดฝายหิน มีจุดบริการน้ำที่3 และจุดพยาบาล (จุดนี้ หากนักวิ่งท่านใดทำเวลาเกินกว่า 7.15 น. เราจะมีรถบริการนำท่านไปส่งที่ศาลาอ่างแก้ว (cut off time – DNF) จากนั้นวิ่งมุ่งหน้าสู่คณะสถาปัตย์ฯจนถึงประตูทางออกวัดฝายหิน เลี้ยวซ้ายไปจนถึงแยกทางขึ้นกาแล มีจุดบริการน้ำที่4 รวมถึงเกลือแร่ ผลไม้และจุดพยาบาล จากกาแลลงมา มีจุดบริการน้ำที่5 และบริเวณนี้ถ้านักวิ่งหมดแรง หรือทำเวลาเกิน 08.00 น. (cut off time 08.00) มีรถบริการ แต่ถ้าท่านผ่านจุดนี้ไปได้เป้าหมายคือ ประตูวิศวะ มุ่งตรงหอนาฬิกาอีกครั้ง ณ จุดนี้เลี้ยวซ้ายผ่านคณะวิศวะฯ แล้วเลี้ยวขวาถัดไปผ่านหอ 6 ชาย เพื่อผ่านลงเนินสหกรณ์ แล้วขึ้นเนินห้องสมุด จากนั้นเลี้ยวผ่านคณะสังคมศาสตร์ ผ่านโรงอาหารคณะมนุษย์ มุ่งหน้าสันอ่างแก้ว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นชัย

 

นางรัตนประภา กล่าวอีกว่า ช่วงแรกเราเปิดรับสมัครไปไม่นาน มีผู้สมัครเข้ามาเต็มจำนวน คือ 2,000 คน โดยค่าสมัคร ฟันรัน 400 บาท วิ่งชาเลนจ์รัน 450 บาท และ VIP 2,500 บาท แต่เนื่องจากการตอบรับดีมาก ทางทีมจัดงานจึงขยายเพิ่มการเปิดรับสมัครรอบพิเศษอีก 500 คน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอีก 10 วัน

 

“สิทธิพิเศษที่นักวิ่งผู้สมัครจะได้รับ คือ โล่รางวัลประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา สำหรับผู้ได้อันดับ1 รางวัล over all ชาย-หญิง และยังมีโล่เกียรติยศ พร้อมเงินรางวัลในแต่ละประเภทอายุ รวมถึงเหรียญรางวัล ที่ออกแบบเป็นรูปหัวสิงห์ที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากให้กับนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยทุกระยะ และมีรางวัลพิเศษ เป็นการจับฉลากตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ค่างประเทศ 4 ใบ ในประเทศ 3 ใบ มีการเปิดคลินิกนักวิ่งทีมชาติ แนะนำการพัฒนาการวิ่งให้กับ ผู้สมัครที่สุ่มมา 100 คน ในเวลา 13.00 น. วันที่ 24 กุมภาพันธ์ สามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานได้ที่ เฟซบุ๊ค แฟนเพจ สิงห์ขาว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่” นางรัตนประภา กล่าว

 

ด้านนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่ปรึกษาการจัดงานฯ กล่าวว่า งานที่จัดขึ้นนี้รายได้เราจะนำไปช่วยเด็กยากไร้ นำมาซึ่งหน้าตอของเมืองเชียงใหม่ ตนจะผลักดันให้งานวิ่งของสิงห์ขาว ยกระดับขึ้นเป็นอีเว้นท์งานวิ่งระดับต้นๆของประเทศไทยที่ใครๆก็ต้องไม่พลาดที่จะมา ส่วนช่วงของการจัดงานที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 มีนาคมนั้น หลายคนเป็นห่วงเรื่องของภาวะหมอกควัน ตนเองมั่นใจว่าไม่น่ากังวล เนื่องจากหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่แล้ว จะมีการประกาศภาวะต่อสู้กับอากาศเสียโดยจะคิกออฟในต้นเดือนหน้านี้ เชื่อว่าเชียงใหม่อากาศจะไม่เลวร้ายเหมือนกรุงเทพฯ

////////

แร่ปลาทูน่าราคาเป็นแสน คนเชียงใหม่กินสดๆราคาแค่หลักร้อย

โลกโซเชียลที่เชียงใหม่กระหึ่ม ร้านอาหารญี่ปุ่น ไดโชะ บาย ซูซิ Daiso by Sushi ที่ตั้งอยู่บริเวณวงแหวนรอบสองแยกตลาดรวมโชค เลี้ยวขวา ต.สันทรายน้อย อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้นำปลาทูน่า น้ำหนักร่วม 80 กิโลกรัม สองตัวราคาร่วมแสนบาท ส่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่นมายังเชียงใหม่ ที่ร้านแห่งนี้ จึงต้องมีการโชว์ให้ลูกค้าที่นิยมอาหารญี่ปุ่นขนานแท้และดั้งเดิม ได้ชมการแร่ปลาทูน่าทั้งตัวสดๆอย่างชำนาญ

โดยนายนิรุทธิ์ แก้วคำฟูหรือ น้องไดร์ ไดโซะ ซูซิ  คนเชียงใหม่เจ้าของร้านหน้าหล่อแบบสไตล์ญี่ปุ่น ได้เปิดตัวปลาทูน่าทั้งสองตัวที่สั่งตรงมาถึงร้าน จากความใหญ่โตเท่าคนจนต้องลงไปนอนเคียงข้างวัดขนาดปลาก่อนที่จะทำการแร่ปลาทั้งตัวเพราะถือว่าเป็น 2 ตัวแรกที่มาถึงเชียงใหม่ จากนั้นก็ทำการแร่โดยมีกลุ่มลูกค้าที่นิยมกินปลาสดมารอชมจำนวนมากรวมถึงรายการต่างๆมาทำการไลฟ์สดสร้างสีสันเป็นอย่างมากโดยได้ชมวิธีการแร่ปลาทูน่าอย่างถูกวิธีและหั่นเฉือนเนื้อออกมาให้ลูกค้าและผู้ทีมาชมได้ลิ้มรส เป็นกลุ่มแรก

นายนิรุทธิ์ แก้วคำฟูหรือ น้องไดร์ ได้เผยว่าได้สั่งปลาทุน่าสดโดยตรงมาจากประเทศญี่ปุ่นใช้เวลาเดินทางมาถึงรวม 3 วันโดยแพ็คเป็นอย่างดี ราคาสองตัวร่วมแสนบาท แต่ขายในราคาหลักร้อยเท่านั้น ชาวเชียงใหม่จึงโชคดีได้ลิ้มรสปลาทูน่าจากทะเลอย่างสดๆเลย ในการเปิดร้านใหม่โดยคิดเพียง ราคาคนละ 399 บาท ตั้งแต่ 11.00 – 15.00 น. และ ราคาบุฟเฟ่ต์ช่วงเย็นหลังจาก 15.00 น. เป็นต้นไป ราคาท่านละ 459บาท

โดยมีอาหารญี่ปุ่นนานาชนิดมีซาชิมิ ซูชิ ข้าวปั้นมากิโรล ยำสร่ายไข่กุ้ง และ ยำแซลมอน ปลาซาบะย่าง ปลาไข่ย่างราดซอส หรือ ปลาหมึกย่าง เป็นต้น สำหรับปลาทูน่าจากญี่ปุ่นจะสั่งตรงเข้ามาตลอดและถือเป็นแห่งเดียวที่นำปลาทูน่าทั้งตัวมาแร่ให้ลูกค้าได้ชิมอย่างสดๆด้วยน้ำจิ้มรสเลิศ

สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ จัด “อุตสาหกรรมแฟร์ 2019”

สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ จับมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่ “อุตสาหกรรมแฟร์ 2019”วันที่ 1 – 10 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1พบกับหลากหลายสินค้าราคาโรงงาน พร้อมคาราวานกลุ่มผู้ประกอบการอาหาร Northern Thailand Food Valley ขนสินค้าพรีเมียมพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษลดแหลกแจกแถม

นายศุภพงศ์ วงศ์วรรณ ประธานจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ 2019 เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1, ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 (BOI), สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ และหน่วยงานสนับสนุนการจัดงาน ประกอบด้วย สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติภาคเหนือ (สวทช.) สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย ชมรมผู้ประกอบการผลิตเครื่องจักรชิ้นส่วนโลหะและอุตสาหกรรมสนับสนุนภาคเหนือ ได้ร่วมกันจัดงาน “อุตสาหกรรมแฟร์ 2019”ขึ้น ระหว่างวันที่ 1–10 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ถ.ทุ่งโฮเต็ล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมสนับสนุนสินค้าอุตสาหกรรมของภาคเหนือให้เป็นที่รู้จัก และเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งงานอุตสาหกรรมแฟร์ ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 20 แล้ว

 

ประธานจัดงานกล่าวเพิ่มเติมว่า งานอุตสาหกรรมแฟร์ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจากจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานมาจัดแสดงและจำหน่ายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ขณะเดียวกันยังเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการค้าการลงทุนระหว่างผู้ประกอบการในภูมิภาคและผู้ประกอบการจากส่วนกลาง สิ่งที่น่าสนใจภายในงานปีนี้คือการออกบูทของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป (Food Valley) ที่จะนำผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมที่จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศมาจำหน่ายราคาพิเศษและโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมภายในงานอาทิ บริษัทลานนาเกษตรอุตสาหกรรม จำกัด บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด บริษัทวีแอนด์พีเฟร็ชฟูดส์ จำกัด บริษัทบีโปรดักส์ จำกัด บริษัทผึ้งน้อยเบเกอรี่ จำกัด ผักสดปลอดสารพิษจากร้านโอ้กะจู๋ รวมถึงโซนเครื่องจักรที่จะมีเครื่องจักรทางการเกษตร เครื่องแพ็ครูปแบบต่างๆ เครื่องบรรจุ เครื่องเป่าขวด เครื่องซิลสูญญากาศ รวมถึงจักรปักอุตสาหกรรม ที่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ Startup สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้ นอกจากนี้ยังจะมีการแสดงและจำหน่ายนวัตกรรมใหม่ของการทำหลังคาด้วยหลังคาแอสฟัลท์ ชิงเกิ้ล ที่จะทำให้บ้านของคุณดูเด่นและผสมผสานไปกับธรรมชาติล้อมรอบ และยังมียางมะตอยน้ำฉาบผิวสำเร็จรูปที่สามารถทำเองได้ ทั้งหมดนี้จะมีการนำมาสาธิตพร้อมจำหน่ายราคาพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น

สำหรับผู้เริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ ที่ต้องการคำปรึกษาแนะนำภายในงานศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 จะมีศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Industry Transformation Center : ITC ) ระดับภูมิภาค ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในภูมิภาค ต่อยอดนวัตกรรม เทคโนโลยี และต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนบ่มเพาะให้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาสินค้าและดำเนินธุรกิจได้เอง นอกจากนี้ยังมีความช่วยเหลือต่างๆ ผ่านโครงการของภาครัฐที่จะทยอยตามมา จึงเป็นโอกาสดีของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงผู้ประกอบการ SME และ OTOP ที่ต้องการจะยกระดับภาคธุรกิจของตนเอง ให้พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีคอร์สฝึกอาชีพระยะสั้น ด้านการประกอบอาหาร การทำขนม และศิลปะประดิษฐ์มากมาย จาก สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ผู้สนใจสามารถสมัครเรียน เพื่อนำไปต่อยอด ทำอาชีพเสริมสร้างรายได้ และยังมีสินค้านาทีทองจากบริษัทผู้ร่วมออกบูทด้วย ทั้งนี้ตลอดทั้ง 10 วัน คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายหมุนเวียนกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังจะได้เลือกซื้อสินค้าคุณภาพในราคาโรงงาน

“ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมงานและเลือกซื้อสินค้าคุณภาพ ภายในงานอุตสาหกรรมแฟร์ 2019 ระหว่างวันที่ 1 – 10 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ถ.ทุ่งโฮเต็ล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ท่านจะได้พบกับความก้าวหน้าของวงการอุตสาหกรรมประเทศไทย และได้สนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยจะจัดเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0-5330-4346-7” ประธานจัดงานกล่าวในที่สุด